ที่ใหม่ๆ
ชีวิตเก่าๆ
บทที่3.2…
“ทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง??”เสียงของคิมจงอินอ่านตัวอักษรบนกระดาษก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองลู่หาน
ชายหนุ่มยักไหล่ให้เพื่อน
ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้ทัณฑสถานวัยหนุ่มวัยแก่ห่าเหวนี่มันอยู่ส่วนไหนของโลก
“ทำไมพวกกูสี่คนไม่ได้ย้ายที่วะ?”ไอ้ใหญ่แทฮากระชากกระดาษจากมือจงอินไปมองพินิจตัวอักษรนั้นอีกรอบ
มันก็ยังระบุชัดเจนว่าจุนฮี ยองฮา จีอา และรวมถึงตัวมันเองไม่ได้ถูกย้ายที่คุมขัง
อีกทั้งซ้ำร้ายกว่านั้นคือไอ้จุนฮีและไอ้ยองฮาถูกย้ายแดนไปแดนสามอีกด้วย
“พวกมึงสงสัยอะไรกันนัก”เสียงผู้คุมดังมาก่อนตัว
พลองไฟฟ้าในมือถูกหวดไปมากลางอากาศ ไอ้แทฮารีบปฏิเสธว่าไม่มีอะไรแทบจะทันที
ลู่หานเบื่อจะมองขี้หน้าของมันเลยเดินหนีออกจากห้องผู้คุมมาก่อน
ไม่ลืมลากเด็กมินซอกที่ยังทำหน้าเหรอหราให้ออกมาด้วย
เดินออกมาไม่เท่าไหร่ก็เจอกับไอ้ซึงฮยอนที่ยืนรออยู่
ใบหน้าของลู่หานเรียบเฉย
ขณะที่ใบหน้าของชเวซึงฮยอนอัดแน่นเต็มไปด้วยความหวัง...หวังว่าทั้งสามคน จงอิน
ลู่หาน และมินซอกจะไม่ถูกย้ายไปไหน
เพื่อน...จะยังอยู่กับชเวซึงฮยอน
แต่แล้วใบหน้าที่แย้มยิ้มตลอดเวลาก็เริ่มเจื่อนลง
จงอินตามมาคนสุดท้ายหุบปากที่จะเอ่ยเรียกเพื่อนได้ทันท่วงทีที่เห็นว่าบรรยากาศมันช่างน่าอึดอัด
มินซอกมองหน้าซึงฮยอนเล็กน้อยก่อนที่คนตัวเล็กจะเดินเข้าไปหาร่างสูงใหญ่
แขนเรียวเล็กยกขึ้นก่อนจะกอดคนตัวสูงเบาๆ
“ผมจะไม่ลืมซึงฮยอนนะครับ”
เป็นคำตอบได้ดีกว่าคำพูดเสียอีก...ซึงฮยอนยกมือกอดตอบคนตัวเล็กกว่าก่อนที่จะผละออกจากกัน
“ผมจะไปเก็บของให้นะครับ
มีแค่พวกเครื่องใช้ที่ยังเหลือกับชุดเล็กน้อยใช่ไหม?”คนตัวเล็กหันมาถาม
ลู่หานพยักหน้าว่าใช่ จงอินเดินไปตบบ่าซึงฮยอนสองที ดวงตาทั้งสองคนสบกันก่อนที่ซึงฮยอนจะเป็นฝ่ายหลบสายตา
“กูไปช่วยเด็กติ๋มเก็บของละกัน”ไอ้จงอินพูดเบาๆ
ปิดท้ายด้วยการตบบ่าเพื่อนตัวโตไปอีกทีแล้วเดินตามเด็กติ๋มตัวเล็กที่ขึ้นเรือนนอนไปแล้ว
ลู่หานรู้ว่ามันค่อนข้างทำใจลำบาก
ถึงจะอยู่กันมาแค่ไม่ถึงอาทิตย์...แต่ซึงฮยอนก็มีแค่พวกเขาที่เป็นเพื่อน
สถานะเด็กนางพญาบ้าบอนี่มันทำให้ซึงฮยอนไร้มิตรสหาย
ทุกคนเกิดการหมั่นไส้เพราะสิทธิจากการเป็นเด็กนางพญา
ถ้าได้เจอนางพญาคนงามนั่นสักครั้ง
ลู่หานอยากจะบอกคนๆนั้นว่า ไม่ว่าจะให้ชเวซึงฮยอนเป็นเด็กนางพญาเพราะอะไร
แต่ฐานะนั้นกำลังทำให้คนๆนึงไม่เหลือเพื่อนอยู่ข้างกาย
...มันกำลังทำให้คนๆนึงโดดเดี่ยว
“ไว้กูจะเขียนจดหมายมาหา”ลู่หานบอก
ซึงฮยอนพยักหน้ารับ คนตัวโตสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าคมเข้มเริ่มระบายยิ้มอีกครั้ง
“กูเข้าใจ...กูทำใจไว้แล้วแต่มันก็ยากจะรับได้ว่าเพื่อนของกูกำลังจะจากกูไป...กูต้องกลับไปโดดเดี่ยวอีกครั้ง”
“…”
“แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ...กูจะคิดถึงพวกมึง
ทั้งจงอิน
แล้วก็มินซอก...กูจะไม่ลืมเลยว่ามีเพื่อนดีๆอย่างพวกมึงทั้งสามคน”ชเวซึงฮยอนคลี่ยิ้ม
ลู่หานตบบ่าเพื่อนก่อนจะรั้งตัวสูงใหญ่เข้ามากอด
กอดลาเป็นครั้งสุดท้าย
“ลาก่อนนะเพื่อน”
ลาก่อน...
วันรุ่งขึ้นลู่หาน จงอินและมินซอกถูกเรียกตื่นเร็วกว่าปรกติ
ผู้คุมจิกให้พวกเขาลุกไปขึ้นรถที่เตรียมรอไว้แล้ว แม้แต่หน้าตายังไม่ได้ล้าง
ตรวนเหล็กถูกนำมาใส่ที่ข้อเท้าอีกทั้งยังมีกุญแจข้อมือของคู่กายที่ไม่ได้ใส่เสียนานอีกด้วย
ลู่หานดึงตรวนหนักอึ้งขึ้น ก้าวขึ้นรถไปก่อนจะยื่นมือมาจับเด็กมินซอกที่งุ่มง่ามกับตรวนอยู่
ส่วนไอ้จงอินก็ปล่อยหัวแม่ง ตัวอย่างกับหมีควายต้องมีปัญญาขึ้นรถเองอยู่แล้ว
เมื่อคืนลู่หานนอนไม่ค่อยหลับ
กลิ่นส้วมรู้สึกจะแรงกว่าทุกวัน
ใครคงแดกหมาเน่าไม่ก็ตัวเหี้ยอะไรเข้าไปถึงได้คงกลิ่นไว้ขนาดนั้น
ประตูรถถูกปิดลง ช่องเล็กสำหรับระบายอากาศนั้นเป็นช่องเดียวกับที่ทำให้ลู่หานเห็นสภาพภายนอกได้
ลู่หานมองลอดช่องนั้นไป ไปยังเรือนนอนที่ใช้ซุกหัวนอนมาถึง 7 วันเต็ม
เสียงสตาร์ทรถบอกว่าตอนนี้พวกเขากำลังจะต้องจากที่แห่งนี้ไปแล้ว...
ถึงคราวต้องลาแล้วจริงๆสินะ...ชเวซึงฮยอน
“...กูจะไม่ลืมมึง”
ยานพาหนะสีทมิฬเคลื่อนตัวออกช้าๆ
ผ่านเรือนนอนแต่ละหลัง ผ่านโรงอาหารหลังคุ้นเคย
ผ่านประตูเรือนจำ...และออกสู่ท้องถนน จุดหมายก็คงเป็นที่แห่งนั้น
...ทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง
ลู่หานมองบรรยากาศด้านนอกตัวรถผ่านรูถ่ายเทอากาศ
อยู่นี่เองสินะ...อิสระ อยู่แค่ด้านนอกตัวรถนี่เอง
ทำไมมันใกล้ขนาดนี้...แต่เอื้อมไม่ถึงเลย
ใช้เวลาเดินทางคงราวๆครึ่งชั่วโมง
แสดงว่าคงไม่ได้ไกลจากที่เดิมเสียเท่าไร ลู่หานเห็นว่ารถเลี้ยงเข้าซอยซอยหนึ่ง
มีป้ายปูนอยู่ด้านหน้าแต่ไม่สามารถเห็นได้ คงเป็นป้ายสถานที่แห่งนี้
บ้านหลังใหม่ของลู่หาน เมื่อรถจอดสนิท ประตูของรถก็ถูกเปิดออก แสงสว่างลอดเข้ามาทำเอาแสบตาไปพักใหญ่
เพราะในรถมันมืดมาเสียตั้งครึ่งชม.
สมาชิกใหม่สามคนถูกไล่ลงจากรถไปยืนเรียงหน้ากระดานก่อนที่พาหนะสีดำสนิทจะเคลื่อนไปจอดหลบอยู่ด้านหนึ่ง
ผู้คุมที่มาด้วยกันแยกไปอีกทางเพื่อจัดการเรื่องเอกสารอะไรสักอย่าง
ปล่อยให้ลู่หานยืนอยู่หน้าผู้คุมของบ้านหลังใหม่นิ่งๆ
ไม่กี่นาทีก็กลับมาพร้อมเอกสารที่คาดว่าจะดำเนินการเรียบร้อย
“ฝากด้วยนะอินซู
พวกมันเรียนรู้กฎอะไรมาบ้างแล้วล่ะ แต่สอนมันใหม่ก็ดี ไอ้พวกนี้ไม่สร้างเรื่องหรอก
อยู่ง่าย”ผู้คุมจากเรือนจำศาลผากผง เอกสารถูกยื่นให้ผู้คุมคนใหม่ที่ชื่ออินซู
จากนั้นร่างในชุดสีกากีจึงวิ่งไปขึ้นรถคันเดิมที่พาลู่หานมาที่นี่
พาหนะคันนั้นถึงเคลื่อนออกไปทางเดิมที่เข้ามา
“กูชื่อจางอินซู”เสียงทุ้มต่ำของผู้คุมคนใหม่พูดเรียบๆ
ในมือเขาถือเอกสารนั้นก่อนพินิจมองตัวอักษรที่ถูกพิมพ์ไว้
“ใครชื่อจงอิน?” ถามนิ่งๆแล้วปรายตามองทีละคน
ไอ้จงอินยกมือขึ้นพร้อมมองหน้าของผู้คุมอินซูแทนคำตอบในคำถาม
จางอินซูหัวเราะหึหึในลำคอ
เรียวขายาวใต้กางเกงสีกากีขยับเดินไปมาอยู่ตรงหน้าก่อนจะไปหยุดที่หน้าของจงอิน
เมื่อจงอินกล้ามองหน้า ผู้คุมคนใหม่ก็กล้าจะมองตอบเช่นกัน
“กูคิดว่ามึงเข้าใจกฎดี ไม่ว่าเรือนจำไหน...กฏก็คือกฎ
กฎเดิมที่มึงต้องเข้าใจและปฏิบัติตาม หนึ่ง...มาก่อนเป็นพี่ สอง...มาหลังเป็นน้อง
สาม...ผู้คุมใหญ่สุด”ผู้คุมอินซูก้มมองรายละเอียดในเอกสารอีกครั้งและเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของไอ้จงอินที่ยังไม่หลบสายตากัน
“เพราะฉะนั้น...อย่าอวดดี”
อั่ก!!
สิ้นคำพูดของผู้คุมคนใหม่
หมัดหนักๆก็พุ่งตรงเข้าปะทะที่ร่างกายของคิมจงอินทันที
หน้าท้องแกร่งถูกอัดกระแทกพาเอาจงอินตัวงอร้องเสียงหลง และลงไปกองกับพื้น
เท้าของผู้คุมอินซูยกขึ้นเหยียบกลางลำตัวของเพื่อนทำให้ลู่หานทนไม่ไหว
ร่างผอมขยับจะช่วยเพื่อนแต่มือเล็กๆของมินซอกกลับรั้งเอาไว้ ใบหน้ากลมส่ายไปมา
“มันจะยิ่งไปกันใหญ่”ใช่...ถ้าลู่หานช่วยจงอินมันจะยิ่งไปกันใหญ่
ไม่ใช่แค่ไอ้จงอิน แต่จะเป็นตัวลู่หานเองด้วยที่โดนกระทืบ หมัดเล็กกำแน่น
กระทืบเท้าอยู่กับที่ ทำได้แค่มอง ทว่าเหมือนความซวยมันเกาะตัวอยู่
ผู้คุมอินซูตวัดสายตามามองที่ลู่หาน อาจเพราะเสียงกระทืบเท้านั้น
จางอินซูถอนเท้าจากลำตัวของจงอิน
สืบเท้าเข้าใกล้ลู่หานกับมินซอกแทน แขนเพรียวดันคนตัวเล็กกว่าไปด้านหลัง
มินซอกตัวหด ได้แต่จับชายเสื้อของลู่หานเอาไว้
“หรือมึงจะเอา”คำถามง่ายๆ
ลู่หานกัดฟันกรอด ถ้าเป็นข้างนอกคุกเขาคงแลกหมัดกับคนตรงหน้าไปแล้ว
หากแต่สถานการณ์ตอนนี้ ลู่หานทำเพียงกำหมัดให้แน่นกว่าเดิม กัดฟันพูดไปยากเย็น
“เปล่าครับ...ขอโทษแทนเพื่อนผมด้วย”ก้มหัวให้อย่างไม่เต็มใจสักนิด
เอาจริงๆเรือนจำศาลที่เพิ่งจากมานั้น แม้จะพูดข่มขู่นักโทษ
แต่ลู่หานยังไม่เห็นผู้คุมทำร้ายนักโทษถึงขนาดนี้เลยสักนิด
“เหอะ...ไปเก็บเพื่อนมึงขึ้นมาจากพื้นสิ”เสียงสบถมาพร้อมคำสั่ง
ลู่หานกับมินซอกถึงได้เข้าไปช่วยพยุงเพื่อนตัวโตขึ้นจากพื้น
ดูท่าคิมจงอินจงเจ็บที่ท้องไม่เบา เพราะน้องจากโดนชกยังโดนเหยียบอีกด้วย
แล้วเท้าที่สวมรองเท้าคอมแบตหนักอึ้งแบบนั้น
ลงแรงไปไม่เบาคงซ้ำรอยโดยต่อยได้อย่างดี
ผู้คุมอินซูปรายตามองไล่มาที่ลู่หานและเพื่อนอีกครั้ง
มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม...ที่เหมือนจะดูแคลนและสมเพช
“ยินดีต้อนรับสู่แดนหนึ่ง
เรือนนอนของมึงคือเรือนสิงห์ ที่นอนคงไม่ต้องถามว่าอยู่ตรงไหน ถ้าโง่ไม่เข้าใจก็ไปถามไอ้พวกรุ่นเก่าๆให้มันแจกตีนสักสองสามทีเตือนความจำ”
ผู้คุมอินซูพูดพร้อมกระดิกนิ้วเป็นเชิงบอกให้เดินตาม
ลู่หานยกตรวนขึ้นจับ มือยังไม่ถูกปลดกุญแจ การเดินจุงค่อนข้างทุลักทุเล
แต่ก็ยังน้อยกว่าเด็กมินซอกที่แทบจะลากเอาตรวนไปด้วยไม่ไหว ร่างสูงโปร่งของผู้คุมไปหยุดที่ทางขึ้นเรือนนอน
ป้ายด้านหน้าเขียนไว้ว่า “เรือนนอนสิงห์” ต่างจากที่เรือนจำของศาล
ที่เรือนนอนทุกเรือนไม่มีชื่อเรียก เพียงจำ ว่าเรือนนอนใดเป็นของตนก็เท่านั้น
“พวกมึงอยู่เรือนนอนนี้
เอาของขึ้นไปเก็บแล้วจะไปทำเหี้ยอะไรกันก็เอา การอยู่ที่นี่ก็คล้ายที่เดิมของพวกมึงนั่นล่ะ”
“...”
“อ้อ...ค่าที่กวนตีนมองหน้ากู...คิมจงอินไม่ต้องแดกข้าวถึงกลางวัน
เข้าจั๊ย...”
สัดเอ้ย...
TBC.
แมลงจี่...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น