ลูกค้าคนนี้ไม่ชอบเสียงร้อง
บทที่7..
จางอี้ชิงกำลังโมโห...
เขาข่มอารมณ์ไม่พอใจ
พูดแค่ให้จัดการกับสภาพห้องที่ดูไม่ได้เสีย...จากนั้นก็ออกจากห้องมา
กำถุงที่ใส่กับข้าวเอาไว้แน่น เพราะโทรศัพท์มาแต่อีกคนไม่ได้รับ เลยคิดว่าอาจจะมีปัญหาเรื่องการใช้โทรศัพท์เครื่องใหม่
หวังดีไม่อยากให้อีกคนออกไปหาของกินช่วงค่ำเหมือนที่วันหยุดอื่นที่ผ่านมาเพราะวัยรุ่นเมายาเริ่มเยอะมากขึ้นเลยคิดจะเอากับข้าวมาให้
ไม่คิดว่าจะมาเจอคิมจงแดสภาพนั้น...ที่สำคัญคือบนเตียงของเขาเอง...
จงแดพาลูกค้ามาบริการที่ห้อง บนเตียงของเขา...
ทั้งโมโหที่ใช้เตียงของเขาทำเรื่องแบบนั้น
ทั้งหงุดหงิดที่จงแดรับงานนอกเหนือจากที่มาม่าซังป้อนให้ เด็กนั่นกำลังคิดอะไรอยู่
ต้องการเงินมากมายขนาดไหนกัน
อี้ชิงกำมือแน่นขึ้นไปอีกเมื่อในใจเขากำลังเป็นห่วงเด็กคนนั้น ไม่ใช่ว่าไม่เห็นร่องรอยบนตัว
สีหน้าซีดเซียว อยากจะถามจงแดว่าเพื่อเงินที่จะได้มากขึ้น
ถึงต้องยอมขนาดนี้เลยงั้นหรือ?
อี้ชิงปัดความรู้สึกขุ่นมัวในใจออกไป
เด็กนั่นเลือกทางของตัวเอง
ถึงเป็นห่วงเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะไปยุ่งกับทางเลือกที่จงแดเป็นคนเลือกเอง
แต่เรื่องที่รับงานนอกเขาคงต้องคุยกับเด็กนั่น ถ้ามาม่าซังรู้ขึ้นมามันคงจะไม่ดี
ซ้ำยังพาขึ้นมาที่ห้องแล้วใช้เตียงของเขาแบบนี้...เขาไม่ชอบใจเสียเท่าไหร่นักจริงๆ
คนขาย
บ้านดอกเหมยคนยังเยอะเหมือนเดิม
อี้ชิงพ่นลมหายใจออกมา บอกลามาม่าซังกับจื่อเทาที่ยืนอยู่ด้วยกัน เขาแวะซื้อบะหมี่เกี๊ยวกลับไปกินที่ห้องแทนการนั่งกินที่ร้านเหมือนทุกครั้งที่จงแดหยุดเพราะต้องซื้อไปเผื่ออีกคนด้วย
นึกแปลกใจที่เห็นห้องเงียบเชียบทั้งที่ปรกติแล้วจงแดจะยังไม่นอนก่อนเขาแน่ๆ
เด็กนั่นจะรอเขากลับมา กินข้าวตอนดึกด้วยกันก่อนจะเข้านอนเสมอ
มองที่ฟูกข้างเตียงนอนของตัวเองก็ไม่มีร่างเด็กผู้ชายตัวผอม
บนเตียงของเขาถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ
ผ้าปูที่นอนผื่นใหม่ที่เคยได้เป็นของขวัญจับฉลากปีใหม่เมื่อหลายปีแล้วยังไม่เคยใช้ถูกนำมาปูคลุมฟูกบนเตียงแทนผืนเดิม
“จงแด”เขาเรียกอีกคน
วางถุงบะหมี่เกี๊ยวลงบนโต๊ะญี่ปุ่นมุมห้อง เดินไปดูที่ห้องน้ำพบว่ามันถูกล็อกและไฟด้านในก็เปิดอยู่
เขาเรียกอีกคนซ้ำบอกว่าให้ออกมากินบะหมี่ด้วยกัน
ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาจึงหันมาจัดแจงเทบะหมี่ใส่ถ้วยแทน
ไม่นานคนที่อยู่ในห้องน้ำก็ออกมา อี้ชิงมองสภาพอีกคนแล้วเบือนสายตาหลบ
สภาพจงแดดูแย่เอามากๆ ไม่ว่าจะเนื้อตัวที่คงเขียวช้ำหลายจุดในร่มผ้าที่เขาไม่เห็น
และที่มันโผล่พ้นขอบคอเสื้อมาหรือจะตาบวมแดง ริมฝีปากแห้งแตกและซีดเซียว
แย่กว่าครั้งที่โดนอู๋อี้ฟานข่มขืนเสียด้วยซ้ำ
ติดที่อีกคนไม่ได้ล้มหมอนนอนเสื่อจนต้องเข้าโรงพยาบาลแบบครั้งนั้น
จงแดไม่ได้พูดอะไร เด็กหนุ่มจับถ้วยบะหมี่เลื่อนมาตรงหน้าและค่อยๆกินไปเรื่อยๆ
เป็นอี้ชิงที่ลอบมองเด็กในปกครองเอง
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายรับงานเพิ่มเองตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่อย่าทำอีกเพราะถ้าม่ารู้มันคงไม่ดี”เขาเอ่ยบอก เห็นมือผอมหยุดชะงักไปเล็กน้อย
“ผมไม่ได้ทำ...”เสียงแหบแห้งเอ่ยปฏิเสธ อี้ชิงถามกลับว่าแล้วที่เขาเห็นคืออะไร
“ฉันรู้ว่านายอยากมีเงินเยอะๆ
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดี นายนอนกับผู้ชายทุกวัน ลองมองดูตัวเองสิจงแด
มีเนื้อตัวตรงไหนที่ไม่มีรอยตราจับจองบ้าง...ร่างกายนายสักวันมันจะพังลง”อี้ชิงพูดบอก
แต่จงแดพูดเพียงประโยคเดิมว่าเขาไม่ได้ทำ
“ผม...ผมไม่ได้ยอม...”
“จะบอกว่านายโดนข่มขืนหรือไง?”อี้ชิงหัวเราะเบาๆ
โดนข่มขืนในห้องตัวเองเนี่ยนะ จะให้เขาเชื่อได้ยังไง
บอกตรงๆว่าความน่าเชื่อมันน้อยเหลือเกิน
คนขายตัวที่ไหนบ้างที่บอกว่าตัวเองโดนข่มขืน...
จงแดจับตะเกียบที่ถืออยู่แน่น รู้สึกปวดตุบๆที่รอบดวงตา
มันบวมช้ำเพราะร้องไห้มากเกินไป คนตัวเล็กกัดริมฝีปากของตัวเอง
แม้มันจะเจ็บมากขึ้นไปอีกเพราะลงแรงกับกลีบปากบางที่บอบช้ำอยู่แล้ว
วางตะเกียบลงบนชามทั้งที่มือสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด
และเชื่อได้ว่าอี้ชิงก็เห็นมันเช่นกัน
ใบหน้าที่ซูบเซียวเงยขึ้นมาสบตากับคนที่มีศักดิ์เป็นพี่
“ถ้าผมบอกว่าใช่...พี่ก็ไม่เชื่อผมอย่างนั้นเหรอครับ?”เสียงที่ถามแม้จะแหบแห้งแต่ก็สั่นเครือ
บอกกับตัวเองว่าเป็นอย่างที่คิดไว้อยู่แล้ว
ไม่คิดหรอกว่าอีกคนจะยอมฟังที่จงแดจะอธิบาย เพราะพี่อี้ชิงเห็นด้วยตาของตัวเอง
และคงเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้เห็น
“ไม่มีใครจะบ้าเปิดประตูให้คนอื่นเข้ามาข่มขืนตัวเองถึงในห้องหรอกจงแด...แล้วก็ไม่มีใครที่ข่มขืนคนและโปรยเงินใส่ตัวเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นแบบนี้ด้วย”
“...”
“อย่าทำมันอีก มาม่าซังคงไม่ชอบ ตัวนายเองก็จะรับไม่ไหว
ฉันจะไม่พูดเรื่องที่มันเกิดบนเตียงฉันก็แล้วกัน”เขาพูด
เห็นจงแดวกลงมองถ้วยบะหมี่เหมือนเดิมแล้วก็ถอนหายใจออกมา
อี้ชิงยกมือขึ้นวางบนกลุ่มผมสีเข้ม เขารู้ว่าเขาอาจจะพูดแรงหรือตรงไปบ้าง
อาจจะทำให้คนฟังรู้สึกแย่
แต่อี้ชิงคงไม่รู้หรอกว่าคนที่รับฟังคำพูดแย่ๆจากเขา
ความรู้สึกมันเลยคำว่าแย่ไปแล้ว...
คล้ายจะเหมือนกับทุกครั้งที่ได้ฟัง
แต่ครั้งนี้มันคงสาหัสมากที่สุด
คนขาย
เป็นไข้...
นั่นคืออาการแรกเมื่อจงแดได้ลืมตาขึ้นในเช้าวันใหม่
ร่างกายเหมือนถูกก้อนหินถ่วงเอาไว้ ในคอเจ็บร้าวแทบคืนน้ำลายไม่ลง
เมื่อคืนเขาฝันไม่ดี...ในฝันมีผู้ชายชื่อเปี้ยนป๋ายเสียนกำลังจับใบหน้าของเขาแล้วยัดท่อนเนื้อนั่นเข้ามา
เขาดิ้นรน มันเจ็บ...เจ็บไปหมดทั้งตัว แต่ก็ไม่มีความเห็นใจจากผู้ชายคนนั้น
เขาเหลือบมองเห็นใครบางคนยืนอยู่ไม่ไกล มองมาที่เขาด้วยแววตาเฉยชา
แม้จะเอื้อมมือไปหาแต่คนๆนั้นก็ไม่คิดจะเข้ามาช่วย
จงแดอึดอัด
ทรมาน...กับแววตาเฉยชาที่มองแล้วจะเห็นว่าในดวงตานั้นมีความผิดหวังซ่อนอยู่...
ดวงตาของจางอี้ชิง...
“นายตัวร้อน กินยาซะ
ถ้าเย็นยังไม่ดีขึ้นจะได้โทรลางานทัน”อี้ชิงเดินมานั่งยองๆข้างฟูกที่จงแดนอนอยู่
มือเรียวส่งเม็ดยาให้ ดูจงแดจะคุ้นเคยกับยาแก้อักเสบและลดไข้พวกนี้เสียแล้ว
เขากลืนมันลงไปพร้อมน้ำ เอ่ยขอบคุณและขอโทษที่เป็นภาระให้อี้ชิงต้องเหนื่อย
“เจ็บคอมากมั้ย?”อี้ชิงถาม
เห็นอีกคนยังคงเสียงแหบแห้ง ดูแล้วคงจะเจ็บคอ จงแดส่ายหน้า
ทั้งที่ความจริงนั้นรู้สึกข้างในคอร้อนผ่าว
และท่าทางไม่สู้ดีของตนคงบอกอี้ชิงได้ดีว่าที่ส่ายหน้านั้นโกหกทั้งเพ
จงแดคิดว่าคอคงอักเสบเพราะผนังลำคอนั้นอ่อนบาง เมื่อวานมันถูกกระแทกกระทั้น
คงเป็นสาเหตุให้อักเสบขึ้นมาได้
อี้ชิงเหนื่อยจะพูดกับคนที่ไม่รักตัวเอง
ทั้งที่ดูก็รู้ว่าจงแดเจ็บคอแต่ก็ยังดื้อปฏิเสธ
เขากำชับว่าถ้ายังไม่ดีขึ้นต้องรีบบอก จะให้ลางานและพาไปหาหมอ
อดบ่นไม่ได้ว่าต้องเหนื่อยเพราะจงแดอีกครั้ง
ไม่มีใครอยากจะเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยขนาดนี้ เดือนๆหนึ่งต้องมีสักครั้งให้ได้
“ขอโทษครับ”เอ่ยขอโทษอีกครั้งหนึ่ง
รู้สึกแย่ที่ต้องเป็นภาระให้พี่อี้ชิงอีกแล้ว เป็นภาระให้พี่อี้ชิงเสมอ ถูกอย่างที่อี้ชิงว่า
ไม่มีใครหรอกที่อยากเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น คงมีแต่คนแบบคิมจงแด...
แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?
สิ่งที่เขาต้องกล้ำกลืนเก็บเอาไว้
สิ่งที่เกิดกับตัวเองแต่พูดไปแม้แต่อี้ชิงก็ยังไม่ฟัง สิ่งที่เปี้ยนป๋ายเสียนทำต่างหากที่ทำให้เขาต้องมีสภาพแบบนี้
จงแดเคยบอกแล้วว่าจะไม่ทำตัวให้เป็นภาระของอี้ชิงอีก
...เขาพยายามแล้ว...
“นอนพักซะ
เดี๋ยวเที่ยงจะซื้อข้าวต้มมาให้”อี้ชิงเห็นสีหน้าซีดเซียวยิ่งไร้สีสันเมื่อเขาบ่น
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา มองคนตรงหน้าค่อยๆหลับไปเพราะฤทธิ์ยา เขาเอาผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดตามเนื้อตัวให้เพราะเห็นคนเด็กกว่าตัวรุมๆและเหงื่อผุดพรายตามไรผม
อดจะส่ายหัวกับร่องรอยต่างๆบนตัวอีกคนไม่ได้
ถึงจะไปบ้านดอกเหมยวันนี้ได้มาม่าซังคงไล่ให้กลับมาห้องแน่ๆ
สภาพแบบนี้จะให้ไปรับแขกได้ยังไงกันล่ะ
Rrr
อี้ชิงชะงักมือที่เช็ดผ้าไปตามหน้าของจงแด
มองโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ของคนป่วยส่งเสียงเรียกเข้าเป็นชื่อที่บันทึกว่าแม่
เขาไม่อยากให้คนที่เพิ่งหลับลุกขึ้นมาเลยถือวิสาสะรับแทน
เสียงปลายสายแทรกขึ้นมาทันทีที่เขารับสาย
น้ำเสียงดูร้อนรนรัวภาษาเกาหลีที่เขาพอฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง
“ใจเย็นๆนะครับ ผมไม่ใช่จงแด
จงแดเขาไม่สบายกำลังพักผ่อนอยู่”อี้ชิงหาช่องโอกาสแทรกพูด
ใช้สำนวนภาษาเกาหลีที่พูดได้นิดหน่อยเพราะเคยเรียนมา
อีกฝ่ายดูตกใจถามว่าแล้วเขาเป็นใคร เขาจึงบอกว่าเป็นพี่ที่จงแดพักอาศัยด้วย
-ลูกชายฉันป่วยอีกแล้ว..อึ่ก...เขาทำงานหนักมากใช่ไหม?-
เสียงปลายสายสะอึกสะอื้นเหมือนกำลังร้องไห้
อี้ชิงจำใจต้องโกหกว่าที่นี่อากาศเปลี่ยนเร็วมาก จงแดแค่แพ้อากาศ
พักนิดหน่อยก็หายดี
“คุณน้ามีธุระอะไรครับ
เดี๋ยวจงแดตื่นผมจะบอกให้...ผมฟังไม่ออกที่คุณน้าพูดในตอนแรก
อะไรไฟไหม้ครับ?”เขาถามปลายสาย พอจับใจได้ว่าเกี่ยวกับไฟอะไรสักอย่าง
กับคำว่าทำยังไงดีพูดซ้ำไปซ้ำมา เสียงปลายสายเงียบไป
สักครู่ก็กลายเป็นเสียงร่ำไห้เสียงดัง
อี้ชิงตกใจ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ให้อีกคนตั้งสติไว้ ลอบมองที่จงแดซึ่งกำลังหลับสนิท คิดว่าถ้าเด็กนี่เป็นคนรับสายคงแตกตื่นไปหมดแน่ๆ
แม่ของจงแดเงียบไป มีเสียงสะอื้นแทรกเข้ามา
..
.
-ฝากบอกจงแดด้วยค่ะ...ว่าบ้านเราไฟไหม้...เราไม่เหลืออะไรแล้ว-
อี้ชิงมองคนที่นั่งน้ำตาไหลแล้วก็อดจะสงสารไม่ได้
เขาบอกเรื่องที่แม่เจ้าตัวโทรมาให้จงแดฟังตอนที่อีกคนตื่น
คนตัวผอมตกใจคาดคั้นเขาว่าไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม แล้วเกิดอะไรขึ้น เกิดได้ยังไงกัน
ดวงตาที่อิดโรยน้ำตาคลอแล้วไหลลงท่วม ต่อสายหาแม่ที่อยู่เกาหลี
คุยกันเสียงดังทั้งที่อีกคนยังเจ็บคอและไอตลอดเวลาที่เค้นเสียงออกมา
อี้ชิงจับใจความได้ว่าถามเรื่องที่เกิดขึ้น
หลังจากวางสายจากแม่จงแดก็นั่งนิ่งแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลแบบนี้...
“ฉันไม่ได้อยากก้าวก่าย แต่ถ้าจะเล่าให้ฉันฟัง
ฉันจะฟัง”เขาพูดแล้ววางมือบนบ่าเล็ก เรื่องที่จงแดกำลังเผชิญไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
ถึงไม่รู้ที่มาที่ไปแต่อี้ชิงคิดว่าการที่บ้านของจงแดที่เกาหลีเกิดไฟไหม้นั่นต้องทำให้แม่และน้องสาวของเจ้าตัวลำบากพอดู
ที่บอกว่าไม่เหลือแล้วนั้น ดูจากน้ำเสียงของเธอก็รู้ว่าไม่น่าจะเหลืออะไรจริงๆ
เด็กผู้ชายคนหนึ่งจากบ้านมาเพื่อหาเงินส่งให้ครอบครัว
ยอมทำทุกอย่างแม้จะต้องถูกตบตีจากเจ้าของร้านที่รับจ้างหรือการโยนศักดิ์ศรีทิ้งแล้วแลกเนื้อกายกับเงินก้อน
เด็กคนนี้ที่นอกจากแม่และน้องที่คิดว่าต้องดูแลแล้วก็ไม่ห่วงอะไรแม้แต่ตัวเอง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เพียรสร้าง หายดับวูบไปกับกองไฟ
จงแดมองที่เขาแล้วส่ายหน้า คนตัวผอมบอกว่าไม่เป็นไร
อี้ชิงถามว่ามันจะไม่เป็นไรได้ยังไงกัน บอกเล่ามาก็ยังดีกว่าเก็บเอาไว้
เผื่อมีอะไรช่วยเหลือได้เขาก็จะช่วย แต่เด็กนี่ก็ยังส่ายหน้า
แล้วอี้ชิงก็เพิ่งตระหนักได้ว่าคำพูดของเขาไม่ได้แค่ทำให้จงแดรู้สึกแย่ในบางครั้ง
การที่เขาพูดตรงๆแบบไม่เคยคิดก่อนจะพูดนั้น คนฟังอาจเก็บอยู่ในใจและคอยทิ่มตำเสมอๆ
อี้ชิงเพิ่งคิดได้ตอนที่เสียงแหบแห้งนั้นเอ่ยออกมา
...ว่าอี้ชิงเหนื่อยกับจงแดมากแล้ว ครั้งนี้คงไม่เป็นภาระให้อี้ชิงลำบาก
คนขาย
สิ่งที่จงแดขอให้อี้ชิงเป็นธุระคือพาไปที่บ้านดอกเหมย
มาม่าซังร้องตกใจที่เห็นสภาพจงแด
ถามว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะล่าสุดก็ไม่ได้มีสภาพเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง
อี้ชิงโกหกว่าจงแดลงมาซื้อของล่างหอแล้วมีเรื่องกับเด็กติดยาที่มารีดไถเงิน โดนเตะต่อยฟกช้ำไปทั้งตัว
“ตายแล้ว
แล้วจะรับงานได้ยังไงกันล่ะเนี่ย”หล่อนอุทานด้วยความตกใจ
จับใบหน้าซีดเซียวพลิกไปมา ถอนหายใจอย่างปลงตกบอกว่าพักอีกสักสองวันก็แล้วกัน
หล่อนคาดโทษว่าจงแดเป็นแบบนี้หลายรอบแล้ว
ถึงจะทำเงินดีแค่ไหนแต่ถ้ายกเลิกคิวหลายๆครั้งหล่อนและบ้านดอกเหมยก็เสียชื่อ
ถึงวันนั้นเจียนจี้ฟางก็ไม่คิดจะเก็บจงแดไว้อีก
“ฟังมันก่อนสิม่า
ผมไม่ได้พาจงแดมาแค่เรื่องนี้หรอกนะ”อี้ชิงบอก เจียนจี้ฟางจิ๊ปาก
มือคว้าหมับที่แขนของอี้ชิงแล้วถามว่ามาเรื่องอะไรกัน
“ผมจะขอเบิกเงินล่วงหน้าของเดือนนี้น่ะครับ
พอดีที่บ้านเกิดเรื่องจำเป็นต้องใช้”จงแดตอบ
ยิ่งได้ยินเสียงคนตัวผอมมาม่าซังยิ่งอยากจะเป็นลม
เสียงแบบนี้ฟังสองวันคงไม่กลับมาหวานจ๋อยเรียกแขกดีหรอกใช่ไหม?
“เบิกน่ะมันเบิกได้
แต่เรื่องจำเป็นน่ะมันอะไรล่ะ?”หล่อนถาม
กำลังคำนวณความเสียหายจากคิวจงแดที่อาจจะถูกยกเลิกเพิ่ม ทว่าพอลูกชายคนเล็กของแม่เล้าอย่างหล่อนได้ยินว่าบ้านของจงแดที่เกาหลีไฟไหม้ก็เบิกตากว้าง
สีหน้าตระหนก ถามเป็นการใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น เกิดขึ้นได้อย่างไร
จงแดถูกรั้งเข้าไปในอ้อมกอดของจี้ฟาง
หล่อนลูบหัวลูบหางปลอบใจว่าไม่ให้ขวัญเสีย เงินเดือนหล่อนจะให้เบิกล่วงหน้าและจะจ่ายเพิ่มให้ด้วยเป็นการช่วยเหลือทางบ้านของจงแด
“ทีนี้ก็เล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น”มาม่าซังเอ่ยถาม
จงแดจึงยอมเอ่ยปากเล่าว่าแม่พาจูจินไปส่งที่โรงเรียน
แต่ลืมของที่เจ้านายฝากซื้อเลยย้อนกลับมา ทว่ามาถึงก็เห็นไฟลุกท่วมแล้ว
เชื้อไฟลามติดไปยังบ้านหลายหลัง สอบถามก็ได้เรื่องว่าต้นเพลิงมาจากบ้านของน้าอีวานที่อาจเกิดไฟลัดวงจร
ดีที่เจ้าของบ้านพาลูกชายลูกสาวสามคนหนีรอดออกมาได้
“เพราะเป็นชุมชนแออัด
มันเลยลามเร็วสินะ”จี้ฟางเอ่ยขึ้น
นึกสภาพชุมชนแออัดของจีนถ้าเกิดไฟไหม้ก็หมดหลายหลังแน่ๆกว่าจะดับไฟสำเร็จ
หล่อนถามว่าแล้วเหลืออะไรบ้างติดตัว ทุกอย่างไหม้หมดเลยงั้นหรือ
“เหลือแค่รถมอเตอร์ไซค์คันเดียว...ทุกอย่างไม่เหลือเลยครับ
รวมถึงเงินสดที่แม่เก็บไว้จ่ายค่าสอนบัลเล่ต์จูจินด้วย”ท้ายเสียงของจงแดแผ่วเบาแล้วน้ำตาก็ไหลลงมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้
จงแดปาดมันออกแต่มันก็ยังไหลไม่หยุด เจียนจี้ฟางนึกสงสารดึงคนตัวเล็กมากอดอีกครั้ง
บอกเดี๋ยวเดี๋ยวหล่อนไปหยิบเงินมาให้
จงแดและอี้ชิงนั่งรอมาม่าซังครู่ใหญ่
เจ้าของบ้านดอกเหมยก็กลับมาพร้อมเงินก้อนหนึ่ง หล่อนบอกว่าของหล่อนให้จงแดเพิ่มสองพันหยวน
ถามไถ่ว่าจากนี้แม่กับน้องจะไปอยู่ที่ไหน จงแดคิดเอาไว้แล้วว่ายังไงก็จะให้แม่กับน้องออกมาจากที่นั่น
เงินยังไม่พอซื้อบ้านก็คงต้องหาบ้านเช่าสักหลัง ระหว่างที่หาบ้านแม่คงไปอาศัยกับนายญี่ปุ่นก่อน
เจ้านายของแม่ใจดี พอรู้เรื่องก็ช่วยเหลือเจือจุน
“จะไปโอนเงินให้ทางบ้านใช่ไหม รีบไปเถอะ
แล้วอาอี้ต้องกลับมาทำงานนะ ไม่งั้นม่าจะโกรธมาก”หล่อนเอ่ยบอก
กำชับให้อี้ชิงมาเล่นกีต้าร์ให้ได้ ไม่เช่นนั้นลูกค้าคงลดลงอีก
ถ้ารายได้ไม่ถึงเป้าหล่อนคงต้องหักเงินเดือนอี้ชิงอย่างจริงจัง
จงแดยิ้มเล็กน้อยตอนมาม่าซังทำหน้าปั้นปึ่ง
เจียนจี้ฟางเป็นคนหน้าเงิน แต่ก็เป็นอย่างที่อี้ชิงเคยบอกเอาไว้ว่าเจ้าของร้านี่จงแดจะมาทำงานด้วยเป็นคนใจดี
เงินสองพันหยวนไม่ใช่เงินน้อยๆ ความจริงจะไม่ช่วยเหลือก็ย่อมได้ แต่หล่อนก็ช่วย
จงแดได้ค่าตัวจากการบริการแขกวันหนึ่งตกเฉลี่ยแล้วประมาณหนึ่งถึงสามพันหยวน
บางครั้งก็จะได้เพิ่ม แต่หลายๆครั้งก็จะถูกหักออกเพราะมาม่าซังต้องคืนเงินให้กับลูกค้าที่ถูกยกเลิกคิวพร้อมค่าเสียหาย
ซึ่งจงแดยอมให้หักเพราะเกิดจากความผิดของตัวเอง เงินเดือนแต่ละเดือนก็เลยย่อมได้ไม่เท่ากัน
หักจากการซื้อของใช้ของกินและช่วยเรื่องค่าน้ำค่าไฟที่ห้องกับส่งไปให้แม่แล้วก็มีเงินเก็บเดือนละหลายหมื่น
มันเป็นจำนวนเงินที่มากโข แต่ไม่มากพอสำหรับจงแด เขาอยากซื้อบ้านเป็นของตัวเอง
ต้องได้มากกว่านี้...
ถ้าหากโอนไปให้แม่หาบ้านเช่าสักหลัง
ซื้อข้าวของที่สูญเสียไปในเหตุไฟไหม้ เงินคงเหลือแค่กึ่งหนึ่งเท่านั้น
เพราะของที่เกาหลีนั้นราคาสูงกว่าที่จีน เงินในจีนที่ว่ามากย่อมไปใช้ในเกาหลีได้น้อยลง
จงแดขอให้อี้ชิงพาไปธนาคารเป็นอันดับต่อไป
ซึ่งอี้ชิงก็ยินดีเป็นสารถีให้
ทว่าเพียงครึ่งทางก็ได้รับโทรศัพท์จากอาจารย์ที่ปรึกษาโปรเจ็คว่าโปรเจ็คมีปัญหาให้รีบกลับไปแก้ไข
ร่างโปร่งดูหัวเสีย จงแดจึงบอกว่าให้ไปดูโปรเจ็คเถอะ เขาไปเองได้
“สภาพแบบนี้น่ะเหรอ?”ถามออกมาทำให้จงแดต้องวกลงมองสภาพตัวเอง
ซูบซีดเหมือนคนไม่สบายหนัก อ่อนแรงเหมือนจะเดินไม่กี่ก้าวแล้วล้มลงไปกอง แต่จงแดยังยืนยันว่าเขาไปไหว
เดินแค่ไม่กี่เมตรก็ถึงธนาคาร ตอนขากลับก็นั่งแท็กซี่เอาก็ได้
“เฮ้อ...ก็แล้วแต่แล้วกัน
ดูแลตัวเองดีๆ”ชายหนุ่มว่า ส่งจงแดลงครึ่งทางแล้ววนรถกลับเพื่อไปมหาวิทยาลัย
ทิ้งให้จงแดมองตามไฟท้ายของรถมอเตอร์ไซค์คันที่คุ้นชินหายไปจากสายตา
มือเล็กบีบเข้าหากันก่อนจะคลายออก แล้วค่อยๆคลี่ยิ้มออกมาบนใบหน้าที่ซูบเซียว
“ขอบคุณครับ”ขอบคุณสำหรับคำพูดดีๆจากอี้ชิง
แม้น้ำเสียงคนพูดจะเรียบๆเหมือนเดิม แต่มันดีกว่าคำที่ฟังแล้วทำให้เจ็บปวด
จงแดชอบที่พี่อี้ชิงพูดแบบนี้
เหมือนแรกๆที่เราอยู่ด้วยกัน คำพูดราบเรียบแต่ฟังแล้วรู้ว่าอีกคนหวังดี
จงแดชอบมันที่สุด...และไม่ลืมว่าเขาปลื้มพี่ชายคนนี้มากแค่ไหน
กับความหวังดีของอีกคนที่มีให้กัน...
ธนาคารคนเยอะจนต้องนั่งรอนาน
ยิ่งเป็นธุรกรรมระหว่างประเทศด้วยแล้ว
พนักงานของธนาคารมาถามว่าครั้งนี้จะโอนเงินอีกแล้วใช่ไหมเพราะเธอคุ้นเคยกับจงแดดี
จงแดกรอกเอกสารจนครบถ้วน เมื่อถึงคิวตนเองก็ลุกไปยื่นให้ทางพนักงานที่เค้าท์เตอร์ เพราะปรกติแล้วการโอนเงินต่างประเทศจะต้องใช้เอกสารที่เป็นระเบียบระบบ
พนักงานสาวจะรับเอกสารจากจงแดไปคีย์ข้อมูลและปริ้นท์ให้ก่อนเสมอ
แผ่นกระดาษใบหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าให้ประทับลายมือชื่อลงไป
ตัวเลขในช่องหนึ่งเป็นจำนวนเงินซึ่งจะถูกโอนในระบบโอนต่างประเทศ
จงแดเขียนลายมือชื่อลงในช่องว่างซึ่งเป็นรอยประก่อนจะส่งแผ่นกระดาษคืนพนักงานไปทำธุรกรรมต่อ
เกลี้ยง...
ค่าแรงของเดือนนี้หมดแล้วเพียงจรดปลายปากกา
แต่ก็นึกดีใจที่อีกไม่กี่วันเงินก็จะเข้าบัญชีของแม่ที่อยู่คนละประเทศ
นึกถึงตอนที่น้องสาวคนเดียวมีเงินไปโรงเรียนทุกวัน มีชุดสวยๆใส่กับเขาบ้าง
มีรอยยิ้มแบบเด็กทั่วไป แค่นี้คิมจงแดก็มีความสุขแล้ว
เอ่ยขอบคุณพนักงานสาวประจำสาขาธนาคารไชน่าแบงค์ก่อนจะผละออกจากเคาท์เตอร์
แล้วเดินออกจากธนาคารปะปนกับผู้คนไปตามทางที่ทอดยาว
ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมาติดอันดับโลก ไม่มีใครมาสนใจใคร
เพราะวันๆต้องเจอกับคนมากมายนับไม่ถ้วน
จึงไม่มีใครสน...ว่ามีคนเกาหลีแท้ๆเดินปะปนอยู่
ไม่ได้รู้ว่าคนเกาหลีตัวเล็กๆคนนี้เป็นใครมาจากไหน
และไม่ได้สนใจ...
ว่าคิมจงแดขายตัวให้ใครมาบ้าง...
มันคงน่ากระอักกระอ่วนใจถ้ามีคนมาสนใจในงานที่เขาทำ
คำพูดของอี้ชิงมักถูกเสมอ มันไม่น่าภูมิใจที่จะบอกใครได้อย่างเต็มปากว่าได้เงินจากการขายตัวมา
พนักงานสาวที่ทำรายการโอนให้จงแดก็เคยถามว่าทำไมถึงโอนเงินให้แม่มากมาย ทำงานอะไร
เธอน่าจะได้ทำบ้าง จงแดเอาแต่เงียบ
ถ้าหากเธอรู้คงไม่อยากจะทำมัน...
“เดี๋ยวแม่เช็คยอดเงินเข้านะ
จงแดโอนไปให้สองหมื่นห้าก่อน”จงแดบอกกับปลายสายทันทีที่โทรหาแม่ติด
เสียงแม่ดูตกใจกับจำนวนเงินที่โอนให้ ถามว่าทำไมมันเยอะแยะขนาดนั้นกัน
-นี่ทำงานได้พักบ้างไหมลูก
ป่วยแล้วจะออกมาโอนเงินทำไมกัน
ในบัญชีแม่ยังมีพอใช้เช่าห้องกับซื้อของใช้จำเป็นได้-
จงแดยิ้มน้อยๆกับน้ำเสียงที่ดูเป็นห่วงเขามาก
เขาบอกให้แม่ไม่ต้องเช่าห้องพักแล้ว อย่าอยู่ในชุมชนแออัดอย่างเดิม เงินที่โอนให้
อยากให้แม่เช่าบ้านหลังเล็กๆสักหลัง ซื้อของใช้ที่จำเป็นทั้งหมด
และซื้อชุดนักเรียนกับเสื้อผ้าสวยๆให้จูจิน
“ตุ๊กตาด้วยนะแม่...ใช้ซื้อไปเถอะ ไม่ต้องห่วงผม
จงแดไม่เหนื่อยหรอก”เขาบอก ได้ยินเสียงโวยกลับมา
พูดว่าเสียดายข้าวของที่เสียไปกับเหตุการณ์ไฟไหม้ จะโทษเอาความต้นเหตุก็ไม่ได้
เงินทองหรือก็ไม่มีด้วยกันทั้งนั้น เสียดายที่สุดคงเป็นค่าเรียนบัลเล่ต์จูจิน
เก็บไว้จะไปจ่ายอยู่พรุ่งนี้เอง
จงแดหัวเราะขื่น บอกแม่ไม่ต้องเสียดายมันหรอก
เดี๋ยวเขาจะขยันทำงานให้มากขึ้น เก็บรวบรวมเงินอีกครั้ง แล้วจะกลับไปหาแม่กับจูจิน
“แค่แม่กับน้องยังมีชีวิตอยู่รอให้จงแดกลับไปมันก็ดีและคุ้มกับการที่จงแดเหนื่อยแล้วไม่ใช่เหรอแม่?”
คนขาย
ได้พักสองวันทำให้อาการไข้หายเป็นปลิดทิ้ง
จงแดเก็บตัวอยู่ในห้องตลอดทั้งสองวัน เวลาที่อี้ชิงออกไปมหาวิทยาลัยและไปทำงานเขาจะอยู่เงียบๆในห้อง
ยอมรับกับตัวเองว่ากลายเป็นคนระแวงเสียงเคาะประตูเพราะกลัวว่าป๋ายเสียนจะย้อนกลับมาอีกครั้ง
โชคดีที่หลังจากวันนั้นผู้ชายชื่อเปี้ยนป๋ายเสียนก็ไม่ได้กลับมา
เสียงของจงแดยังคงแหบแห้งอยู่ อาการเจ็บคอทุเลาลง
แต่ยังคงต้องกินยาแก้เจ็บคอจนกว่าจะหายดี ส่วนเรื่องแม่กับจูจิน
ตอนนี้แม่หาบ้านเช่าได้แล้ว บ่นอุบว่าราคาแพงกว่าห้องเช่าเดิมเยอะมาก
แต่มีสวนสาธารณะอยู่ใกล้ๆ เพื่อนบ้านก็มีลูกวัยเดียวกับจูจิน
ดูน้องสาวของจงแดจะมีความสุขและลืมเรื่องราวแย่ๆจากเหตุการณ์ไฟไหม้ไปได้เพราะได้เจอเพื่อนใหม่
จงแดบอกกับตัวเองว่าดีแล้ว
แม่เองก็ไม่ต้องไปคิดถึงอะไรที่เสียไปอีก จากนี้ก็เริ่มต้นใหม่
เขาใช้เวลาที่ได้พักคำนวณและไตร่ตรองดูแล้วว่าจะต้องเก็บเงินอีกสักเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ
ต้องทำงานอีกกี่ครั้งถึงจะได้เงินตามที่ต้องการ อีกไม่นานจงแดก็จะกลับบ้านไปหาแม่ได้เสียที
คิดเอาไว้ว่าไม่เกินปีครึ่ง...เงินที่ได้คงพอซื้อบ้านพร้อมตกแต่งได้สักหลัง
และเป็นทุนเก็บไว้ใช้ได้อีกหลายปีหากประหยัด
“ยังเจ็บคออยู่หรือเปล่า?”เสียงอี้ชิงเอ่ยถามคนที่ก้มหน้าก้มตาพับเสื้อผ้าของตัวเองใส่ตะกร้าหลังจากตากแดดจนแห้งสนิทแล้ว
จงแดตอบว่ายังเคืองคออยู่ แต่ไม่มีปัญหา ไปทำงานได้ตามปรกติ
“แล้วรอยพวกนั้นล่ะ”ถามอีกพร้อมพยักเพยิดหน้า
จงแดแหวกสาบเสื้อออกน้อยๆ รอยยังคงไม่จางลงมากแต่ที่ห้อช้ำก็ดูดีขึ้น
อาศัยใช้แป้งรองพื้นทาตัวก็กลบได้มิด อี้ชิงแค่นหัวเราะ
ถามว่าต้องใช้กี่กระปุกกันจึงปิดรอยช้ำพวกนั้นสนิท
แล้วคนที่พูดไม่ระวังก็เงียบไปเมื่อคนฟังมีสีหน้าหมองลง
จงแดยกยิ้มบางๆแต่ไม่ตอบอะไร
พับผ้าจนเสร็จแล้วก็ไปดูผ้าปูที่นอนที่เอามาซักด้วยว่าแห้งบ้างหรือยัง
อี้ชิงมองตามคนเด็กกว่าออกไปที่ระเบียงห้อง รู้สึกผิดในใจกับคำพูดที่ไม่คิดก่อนจะเอ่ยของตัวเอง
เขาพยายามจะระวังคำพูดมากขึ้นแล้วแต่เพราะมันเป็นสันดานเลยยากจะเปลี่ยนได้รวดเร็ว
เขายกมือนวดขมับปัดเรื่องที่พูดไม่ดีใส่จงแดทิ้งไปเพราะลำพังเรื่องโปรเจ็คจบก็ปวดหัวพอดู
ไหนจะเรื่องสอบอีก ถ้าเขาส่งโปรเจ็คจบไม่ทันสอบสิ้นเทอมเขาคงไม่จบแน่ๆ
ปัญหาก็อยู่ที่รูปเล่มและสำนวนการเขียนที่ต้องเกลาแล้วเกลาอีก
อาจารย์ที่ปรึกษาช่วยได้ในระดับหนึ่งแต่เขาก็ต้องมาแก้ไขเอาเองอยู่ดี
“กินขนมไหมครับ?”เสียงแหบน้อยๆเอ่ยถาม
อี้ชิงมองคนที่ยืนขนมมาให้ ไม่ได้สังเกตว่าจงแดกลับเข้าห้องมาแล้ว เขาส่ายหัว
ถามว่าจงแดหิวหรือเปล่า ดูนาฬิกาก็เห็นว่าเกือบเที่ยงแล้ว
ตอนเช้าพวกเขาทั้งคู่ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันเพราะขี้เกียจออกไปหาอะไรกิน
บะหมี่สองห่อสุดท้ายเลยหมดเกลี้ยง ไปห้างสรรพสินค้าคงต้องไปซื้อมาตุนเอาไว้อีก
“ยังครับ แต่เห็นพี่ดูเครียดๆ กินของหวานช่วยได้”จงแดปฏิเสธ
เข้าห้องมาเห็นอีกคนทำหน้าเครียดๆคงเครียดกับเรื่องเรียนอีกเหมือนเคย
เลยคิดว่าถ้าได้กินอะไรหวานๆคงดี
อี้ชิงอึ้งไปกับสิ่งที่อีกคนพูด
เขาร้องอื้มในลำคอก่อนจะดึงขนมชิ้นเล็กจากมือของจงแดมาแกะกิน เห็นใบหน้าของอีกคนกระจ่างขึ้นจากร้อยยิ้มน้อยๆ
“จงแด...ที่ฉันพูดอะไรไป
บางอย่างก็ไม่ต้องไปจำหรอกนะ”เขาพูด
พอเห็นจงแดก็พาลเก็บเอาเรื่องที่พูดจาไม่ดีกับอีกคนขึ้นมาคิดอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ...ผมเข้าใจ”จงแดตอบ หน้าเจื่อนเล็กน้อยตอนคิดถึงคำพูดแต่ละคำของคนเป็นพี่
“...”
“ผมไม่เคยโกรธพี่เลย ต่อให้มันจะรู้สึกย่ำแย่แค่ไหนที่ต้องฟังคำพวกนั้น”จงแดคลี่ยิ้มมากขึ้น
เหตุผลแค่เพราะเป็นอี้ชิงก็พอแล้ว เพราะเป็นอี้ชิง
ถึงจะพูดทำร้ายจิตใจกันแค่ไหนเขาก็ไม่เคยโกรธอีกคนเลย
อี้ชิงฟังนิ่ง
มองแววตาของเด็กตรงหน้าก็มีแต่ความจริงใจในคำพูดนั้น
เขายกขนมในมือขึ้นกัดอีกครั้งหนึ่ง ขนมที่เขาเป็นคนรับมาจากจงแดด้วยความเต็มใจ
อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขารับของจากอีกคนในขณะที่เมื่อก่อนเขาจะปฏิเสธทุกอย่างที่จงแดพยายามจะหยิบยื่นให้
ทั้งสิ่งของเครื่องใช้ อาหารการกินที่อีกคนจะเลี้ยง
หรือค่าเช่าห้องบางเดือนที่เขามีเงินไม่พอจ่าย ด้วยอยากให้เด็กคนนี้ไม่ต้องมาสิ้นเปลืองในส่วนของเขา
เขามีกำลังจะใช้จ่ายส่วนนี้เองได้ แต่กระนั้นจงแดก็แอบซื้อของใช้มาเพิ่มเติมบ้าง
ซื้อกับข้าวมาให้บ้างทำให้เขาจำนนไม่สามารถปฏิเสธได้
ขนมนี่เป็นสิ่งแรกจริงๆนั่นล่ะ
ที่เขารับมาจากจงแดด้วยความเต็มใจ...
คนขาย
เจียนจี้ฟางถามไถ่เรื่องบ้านกับจงแด
พี่ๆที่ได้ยินเรื่องนี้ก็พากันมาถามด้วยความเป็นห่วงอีกหลายคน รวมถึงพี่จื่อเทา
จงแดบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว จัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยดี เขาสามารถพูดคุยกับจื่อเทาได้สนิทใจมากขึ้น
คงเพราะท่าทางเป็นห่วงนั่นแตกต่างกับท่าทางที่แสดงออกตอนอยู่กับเซฮุนลิบลับ
จงแดอาบน้ำเช็ดตัวจนแห้งสนิท
หยิบเอาแป้งรองพื้นที่ก่อนมาแวะซื้อในร้านเครื่องสำอาง
พนักงานขายแนะนำถ้าจะใช้ทาตัวให้ใช้แบบเนื้อครีมเหลวๆ มีฟองน้ำไว้ใช้เกลี่ย
จงแดถอนหายใจออกมาเมื่อเกลี่ยเท่าไหร่ก็เป็นรอยด่างดวง
จนทนไม่ไหวต้องขอความช่วยเหลือจากพี่ลี่อิน
หญิงสาวร้องอุทานที่เห็นสภาพน้องแบบนั้น
แต่ก็ลงมือไล่ลงรองพื้นทับรอยช้ำที่เห็นจางๆตามเนื้อตัวให้
อาจจะปิดไม่สนิททั้งหมดแต่ก็ดีกว่าให้แขกเห็นเป็นรอยจ้ำรอยด่างดวงแบบนี้
โชคดีที่รองพื้นนั้นเข้ากันได้ดีกับสีผิวของจงแด
ไม่เช่นนั้นจับจงแดโยนลงถังแป้งยังจะง่ายกว่า
“พี่ไปแล้ว ฉีดน้ำหอมหน่อยก็ดีนะ
ให้มันกลบกลิ่นแป้ง”ลี่อินเอ่ยบอก ใกล้เวลาเปิดร้าน
หล่อนต้องรีบไปเตรียมตัวรับแขกที่มีจองคิวเอาไว้
กลุ่มนักธุรกิจพากันมาฉลองแบบเหมาครึ่งโซนวีไอพี งานนี้หญิงสาวหลายคนได้ถูกจองตัว
ถือว่าเป็นวันดีของมาม่าซังวันหนึ่งเลยทีเดียว
เพราะมีเหมาครึ่งโซนวีไอพี
มาม่าซังเลยติดพันกับการต้อนรับขับสู้บรรดาเสี่ยๆนักธุรกิจทั้งหลาย
เจียนจี้ฟางบอกแค่ลูกค้าวันนี้จะมาอีกประมาณสองชั่วโมง ให้จงแดหาอะไรทำไปพลางๆก่อน
คนตัวเล็กไม่รู้จะทำอะไร
เพราะเรื่องความสะอาดเขาก็จัดการตัวเองตั้งแต่อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว
จะให้กินอะไรเพิ่มก็กลัวจะเป็นปัญหาทีหลัง
เลยทำได้แค่นั่งหน้าเค้าท์เตอร์เพราะไม่อยากอยู่ในห้องแต่งตัวกับพี่สาวคนอื่นๆ
พี่อี้ชิงเริ่มบรรเลงเพลงโดยมีนักร้องสาวคนหนึ่งยื่นร้องเพลงอยู่ข้างๆ
จากการสังเกตถ้านักร้องสาวคนนี้ขึ้นโชว์จะเป็นเพลงจีนเสียส่วนใหญ่ ในบางครั้งที่อี้ชิงร้องเองก็จะเป็นเพลงฝรั่งที่จงแดแปลไม่ออก
รู้แค่มันเพราะดี เขานั่งรอแล้วคุยกับบาร์เทนเดอร์บ้าง
มีพี่จื่อที่แวะเวียนมาสร้างความวุ่นวายบ้าง
รู้ตัวอีกทีการ์ดของโซนวีไอพีก็มาเรียกบอกว่าแขกในคืนนี้มาแล้ว
และรออยู่ที่ห้องพร้อมบอกหมายเลขห้องมาให้ จงแดเดินไปห้องรับรองผ่านบันไดเดิมที่คุ้นชิน
เคาะประตูห้องสองสามครั้งก่อนจะเปิดเข้าไป
เพียงแค่เห็นแขกในวันนี้
จงแดก็อดชมไม่ได้เลยว่าคนตรงหน้าดูดีเอามากๆ
รูปร่างสมส่วนไม่ได้บึกบึนแต่ดูแข็งแรงดี โครงหน้าคมคายแบบฉบับชาวเอเชีย
ผิวสีแทนดูสุขภาพดี เป็นคนที่มีฟีโรโมนพุ่งฉีดแบบกระจัดกระจายสุดๆ
จงแดถามอีกคนว่าจะอาบน้ำก่อนไหม เห็นอีกคนอยู่ในชุดสูทตามสมัยนิยมโดยเสื้อผ้าทุกชิ้นยังอยู่ครบบนร่างกาย
“คุณเป็นคนเกาหลีใช่หรือเปล่า?”นอกจากจะไม่ตอบคำถามแล้ว
อีกคนยังถามเขากลับเป็นภาษาเกาหลีอีกด้วย จงแดตกใจ ไม่คิดว่าอีกคนจะเป็นคนเกาหลี
ท่าทางบอกว่าเป็นคนญี่ปุ่นยังจะน่าเชื่อมากกว่าเสียอีก
“ครับ เอ่อ...”
“ผมชื่อไค เป็นผู้ช่วยของคุณจุนมยอนน่ะครับ
พอดีคุณเขายังติดธุระเรื่องบริษัทอยู่เลยส่งให้ผมมาพบคุณก่อนเพื่อจะสอบถามเรื่องคุณหนูเล็ก”คนตรงหน้าเอ่ยออกมา
จงแดร้องอ๋อในใจ แล้วทำไมถึงมาเป็นแขกของเขาได้ล่ะเนี่ย?
แค่คุณจุนมยอนโทรมาบอกแล้วนัดเจอกันข้างนอกก็ได้นี่
“ผมถามถึงคุณจงแดที่ทำงานที่นี่ก็มีคนให้ผมจ่ายเงินเพื่อจองตัวคุณแล้วก็ต้องรออยู่ถึงสองวัน...แปลกนะครับทั้งที่คุณจุนมยอนบอกว่าคุณทำงานในครัว”เสียงของไคเรียบๆเข้ากับท่าทางและชุดสูทที่สวมใส่
แต่นั่นก็ทำให้จงแดสะอึกในอกไม่น้อย
เพราะตอนที่เขาเจอคุณจุนมยอนตอนนั้นเขายังทำงานข้างในครัวอยู่
ไคคงถามหาเขาเพราะคิดว่าเขาทำงานในครัวเหมือนที่คุณจุนมยอนบอก
“ผม...เปลี่ยนงานน่ะครับ”บอกเสียงเบา
เสียงแววตาขบขันส่งมาจากอีกคน ไคไม่ได้ยุ่งเรื่องที่จงแดเปลี่ยนงานอีก
เขาถามว่าคุณหนูเล็กที่คงหมายถึงเซฮุนนั้นอยู่ที่ไหน จงแดส่ายหัว
เขาไม่รู้หรอกว่าเซฮุนอยู่ที่ไหนทำอะไร นานๆทีเซฮุนถึงจะออกจากห้องมา
ถ้าให้เดาตอนนี้ก็อยู่ในห้องนอนของมาม่าซังเหมือนเคยกระมัง
“ถ้าผมต้องการจะพบคุณหนูผมต้องทำยังไง”ไคถาม
จงแดส่ายหัวอีกครั้ง บอกว่าถ้าเซฮุนจะออกจากห้องมาเขาจะออกมาเอง
หรือไม่อย่างนั้นก็ลองให้เด็กในร้านไปเรียกเหมือนที่คุณจุนมยอนเคยทำ
“แต่ผมก็ไม่แน่ใจนะครับว่าเขาจะยอมออกมาพบไหม?”จงแดบอก
ซึ่งไคก็พยักหน้าเห็นด้วย ยิ่งรู้ว่าเป็นลูกน้องแบบเขามาคงไม่สนใจจะมาพบแน่ๆล่ะ
ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องรอคุณจุนมยอนจัดการงานให้เสร็จเรียบร้อยแล้วบินตามมาพูดคุยด้วยตัวเอง
“ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูล
ที่ราคามันแพงถึงพันสองร้อยหยวนเลยทีเดียว”ไคหัวเราะในลำคอ
เงินที่จ่ายไปก็เป็นเงินของเขาเองเสียด้วย เพราะเจ้านายออกให้แค่ค่าตั๋วเครื่องบินและค่าที่พัก
ส่วนค่าอาหารนั้นรวมอยู่ในค่าโรงแรมแล้ว
ถ้าไปเที่ยวหรือกินอาหารนอกโรงแรมเขาก็เป็นคนจ่ายเองทั้งหมด
“ขอโทษครับ...ขอโทษจริงๆ”จงแดได้แต่ขอโทษอีกคน
ถามว่าจะรับเงินคืนไหม เขาจะไปพูดกับมาม่าซังให้เอง
เพราะเหตุการณ์นี้มันเป็นการเข้าใจผิดกัน ถึงจะต้องโดนหักเงินบ้างก็ตามทีเถอะ
ทว่าไคกลับปฏิเสธ เขาประเมินคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง
แล้วบอกว่าบริการอย่างที่ทำปรกติก็ได้
จงแดหน้าร้อนวูบ บอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ได้ คนตัวผอมคิดตลกว่าอีกคนจะเข้ามาคุยเรื่องเซฮุนแล้วก็จบเท่านั้น
แต่เพราะเขาจ่ายเงินมาแล้ว ยังไงก็คงไม่ต้องการให้เงินนั้นสูญเปล่าหรอกกระมัง
จงแดเองก็รับเงินมาแล้ว แม้จะกระดากนิดหน่อยเพราะอีกคนเป็นคนของคนรู้จักอีกที
แต่เมื่อร่างกายนั้นเปลือยเปล่าปราศจากกี่เพ้าสีแดงสดที่สวมใส่แล้วจงแดก็วางทุกอย่างลง
ไคป้อนจูบให้กับอีกคน
แม้จงแดจะรู้สึกแปลบปลาบเวลาที่ริมฝีปากทาบทับลงมาก็ตามที
เพราะมันอดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึงตอนที่ริมฝีปากของตนเองรองรับความใหญ่โตที่กระแทกเข้ามาจนเจ็บจุก
เนินเนื้อที่หน้าอกถูกบีบขยำและปลายยอดก็ถูกเลียไล้สร้างความวาบหวามให้อีกต่อหนึ่ง
“ผมไม่อยากให้คุณร้องคราง
ช่วยกลั้นเสียงไว้ด้วยนะครับ”เสียงทุ้มๆเอ่ยที่ข้างหูก่อนจะกดจูบซับที่แก้ม
จงแดมองใบหน้าคมเข้มของคนที่เพิ่งพูดกับเขา
แรงชักนำที่แกนกลางกายจากการปรนเปรอของไคทำให้ต้องหรี่ตาลงและปล่อยเสียงครางออกมา
ทว่าได้ยินอีกคนพูดแบบนั้นเลยต้องกัดริมฝีปากกลั้นมันเอาไว้
คนๆนี้แปลกเอามากๆ ทั้งที่แขกหลายๆคนชอบที่จะได้ยินเสียงร้องครางของพวกเขา
ยิ่งครางหนักๆก็ยิ่งชอบใจ แต่กับคนๆนี้กลับไต้องการได้ยินมัน
การโลมเล้าร่างกายของจงแดจบลงตรงที่คนตัวผอมบิดสะโพกร่อนขึ้นเพราะทนกับแรงชักนำหนักๆไม่ไหว
ปากที่คอยจะส่งแต่เสียงร้องนั้นคาบงับฝ่ามือของตัวเองเอาไว้เนื่องจากคนที่ปรนเปรอให้กำชับอีกหนว่าไม่ให้ส่งเสียงออกมา
“แปลกมากที่ผมมีอารมณ์โดยไม่ต้องเร้ามันก่อน”ได้ยินเสียงทุ้มเปรยขึ้นมา
ไคมองร่างของคิมจงแด คนที่เจ้านายเขาสั่งให้มาหาและสอบถามเรื่องคุณหนูเล็ก
คนที่เขาเพิ่งเข้าใจว่าอีกคนขายตัวก็ตอนที่ต้องจ่ายเงินพันสองร้อยหยวนในการจองคิวนั่นล่ะ
สำหรับเขาเองก็ได้ทั้งชายและหญิง
คิดว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ได้กินของที่ต้องซื้อจากซ่องก็สร้างสีสันให้ตัวเองไปอีกแบบ
ยกมือลูบแกนกายที่ผงาดชันหลังจากที่เขาปล่อยมันให้เป็นอิสระ
ยอมรับว่านี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ร่างกายเขาตื่นตัวพร้อมรบโดยไม่ต้องเร่งเร้ามัน
เขายกยิ้มพอใจกับคนที่กัดมือของตัวเองไม่ให้ส่งเสียงออกมาตอนที่บดขยี้ยอดอกสีสดนั้นอีกครั้ง
เขาประหลาดตรงนี้ล่ะ...
คนอื่นอาจจะได้ยินเสียงครางหวานๆแล้วมีอารมณ์
แต่สำหรับเขา...เขาชอบการบิดตัวเกร็งร่างยามรู้สึกเสียวซ่านแต่ไม่สามารถระบายออกมาได้มากกว่า
ไม่ต้องส่งเสียงออกมา แต่สะโพกบางร่อนลอยไม่ติดพื้น
ให้เสียงครางนั้นอื้ออึงแค่ในลำคอ แค่เท่านี้
เขาก็รู้สึกเสียวปราดไปทั้งร่างได้อย่างง่ายดาย...
และคิมจงแดก็ทำได้ดีมากเสียด้วย...
ถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นมีอยู่ประจำทุกห้อง
ไครู้ดีแม้จะไม่เคยหิ้วสาวจากที่แบบนี้ก็ตาม เขานวดท่อนเนื้อที่ครอบถุงยางเอาไว้
ดันมันเข้าไปในตัวของอีกคนช้าๆ จงแดเบือนหน้าซบกับเตียง
ผ่อนคลายให้คนบนร่างได้เข้ามาจนสุด จังหวะเนิบนาบนั้นทำเอาท้องน้อยเสียดวูบ
“อย่าให้ผมได้ยินเสียงของคุณนะครับ”เสียงทุ้มกดต่ำย้ำอยู่ข้างหู
ไคโน้มตัวทับร่างของจงแดเอาไว้ มือข้างหนึ่งกดข้อพับขาให้แนบนาบไปกับอก
อีกข้างสอดเข้าไปกำกลางกายแล้วบีบนวดให้เพิ่มอารมณ์สวาท สะโพกสอบเข้าออกเป็นจังหวะ
เน้นหนักลงแรงในบางครั้ง จนได้ยินเสียงอึ่ก!จากในลำคอของอีกคน
“ฮา...”สุดท้ายแล้วความกระสันก็ชนะสติสัมปชัญญะในที่สุด
จงแดหลุดเสียงครางออกมาอย่างห้ามใจไม่ได้ทันทีที่เรียวลิ้นชื้นแฉะแตะที่ยอดอกอีกครั้ง
ไคเลื่อนตัวขึ้นบดเบียดริมฝีปากที่ร้องครางออกมาเมื่อครู่ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปหนักหน่วงเหมือนทำโทษที่ขัดคำสั่ง
เรียวขาที่ถูกกดแนบถูกดึงให้เกี่ยวกระหวัดที่ช่วงสะโพก
ไคผละตัวออกแล้วดึงให้จงแดลุกขึ้นทั้งที่บางส่วนยังเชื่อมกันสนิท ขยับยกสะโพกที่เล็กบางกลืนกินส่วนที่คั่งคาให้แนบชิดยิ่งกว่าเดิมก่อนจะเป็นฝ่ายล้มตัวลงแนบหลังกับเตียงเสียเอง
พอมาอยู่ด้านบนคนตัวผอมก็ขยับโยกอย่างรู้หน้าที่
อ้าปากอยากจะครางออกมาจนสุดเสียงเมื่อความยาวของท่อนเน้อชำแรกแทรกเข้าไปจนกระแทกจุดกระสันแต่กลับถูกโน้มคอลงมาป้อนจูบเพื่อปิดกั้น
มีแต่เสียงเนื้อที่กระทบกันเท่านั้นที่ดังในความเงียบ ไคกดคอให้จูบนั้นแนบชิด
มืออีกข้างแตะที่สะโพกของจงแดให้นิ่งค้างก่อนจะเป็นฝ่ายสวนร่างขึ้นไปเสียเอง
ได้ยินเสียงร้องในลำคอที่ถูกปิดกั้นเอาไว้
ความเสียวซ่านที่แล่นปราดทั่วร่างสีแทนทำให้ต้องเร่งเครื่องเดินหน้าสุดกำลัง
มือเล็กจิกเล็บลงบนต้นแขนมีกล้ามเนื้อ
ยกสะโพกหลบหลีกการโยกขยับราวกับบ้าคลั่งแต่กลับทำให้รู้สึกดีแทบบ้าในครั้งนี้
อยากจะกรีดร้องลากเสียงให้ดังและยาวที่สุดตอนที่ตัวเองขึ้นไปแตะสวรรค์โดยที่ไม่ได้จับส่วนด้านหน้าเลยสักนิด
ไคยังคงแทรกสอดเข้ามาไม่หยุด
ส่งแรงกระแทกหนักๆหลายครั้งก่อนจะปล่อยปากที่บดจูบมานานให้เป็นอิสระ
เสียงทุ้มคำราม ยึดสะโพกของจงแดเอาไว้และส่งแรงหนักๆหลายครั้งเป็นการสุดท้ายก่อนจะเกร็งตัวปลดปล่อยออกมาทั้งที่ยังค้างคาในตัวของอีกคน
ไคหอบหนัก
เช่นเดียวกับจงแดที่โกยอากาศเข้าปอดเกือบไม่ทัน
เรียวขาผอมบางขยับยกตัวเองออกจากร่างของแขกในวันนี้ ใช้ทิชชู่ปล่อยให้แกนกายที่ค่อยๆฟุบตัวลงนั้นได้มีอิสระจากถุงยางอนามัยแล้วทิ้งมันลงที่ถังขยะ
“คุณจะนอนพักก่อนก็ได้นะครับ
ผมจะไปอาบน้ำก่อน”จงแดบอกคนที่นอนนิ่ง ไคปรือตาขึ้นมา ครางรับในลำคอ
การร่วมรักเมื่อครู่เหมือนจะสูบวิญญาณของชายหนุ่มไปเสียหมด
ชมในใจว่ามันเป็นเซ็กส์ที่วิเศษมากๆแม้จงแดจะหลุดเสียงครางออกมาครั้งหนึ่งก็ตาม
แต่เมื่อเขาปิดปากสวยๆนั่นด้วยปากของตนเอง
เสียงเนื้อต่อเนื้อที่สอดประสานนั่นก็ทำให้หายขุ่นข้องเรื่องเสียงครางไปเสียสนิท
ยิ่งตอนที่สะโพกเล็กพยายามจะหลบหนี เขาชอบตอนนั้นที่สุด...
ถือว่าแม้จะไม่สามารถเจอคุณหนูเล็กได้แต่ก็ไม่เสียเที่ยวเสียทีเดียวล่ะนะ
คนขาย
ข่าวนักธุรกิจวัยเกษียณป่วยดังไปทั่วโซเชียลเน็ตเวิร์ค
เดี๋ยวนี้อะไรก็ตามคนมักจะเอามาแชร์กันผ่านอินเตอร์เน็ตให้เป็นข่าวเสมอ
แม้แต่อาการป่วยของพ่อของเขาก็ตาม
ป่านนี้พี่ชายนอกไส้อย่างคิมจุนมยอนคงหัวหมุนกับหุ้นที่เริ่มตกลงเพราะความไว้ใจในบริษัทเริ่มลดลงเรื่อยๆ
แต่ถึงกระนั้นคนอย่างคิมจุนมยอนน่ะต้องกู้สถานการณ์ได้อยู่แล้ว
ก็หมอนั่นมันได้เชื้อพ่อมาเต็มๆเลยนี่
เชื่อได้เลยว่าอีกไม่นานพี่ต้องบินกลับมาตามเขาอีกครั้ง
ก็เพราะไอ้เด็กจอมจุ้นนั่นที่โทรไปรายงานว่าเขาอยู่ที่ไหนและมีความเป็นอยู่ยังไง
โอเซฮุนหัวเราะในลำคอ ให้ตายเขาก็ไม่กลับไปเด็ดขาด
ผู้ชายคนนั้น คนที่มีฐานะเป็นพ่อ จะเป็นตายร้ายดียังไงก็ช่างเขาสิ
เพราะเขาก็ไม่เคยสนใจว่าเซฮุนจะเป็นตายร้ายดียังไงเหมือนกัน
ตั้งแต่แม่ยังอยู่แล้ว เขาเอาแต่ทำงาน
นับครั้งได้ที่เซฮุนจะเห็นครอบครัวอยู่พร้อมหน้า ยิ่งเสียแม่ไป ผู้ชายคนนั้นแทนที่จะทำหน้าที่พ่อที่ดี
กลับพาผู้หญิงอีกคนเข้ามาในบ้าน
พร้อมพี่ชายที่เขาไม่เคยรู้ว่ามีอยู่...ผู้ชายคนนั้นก็แค่คิดโง่ๆว่าเราคือครอบครัว
พี่จุนมยอนคือพี่ใหญ่ที่ได้รับสืบทอดทุกอย่าง
และคนอย่างโอเซฮุนคือน้องชายคนเล็กที่ไม่ได้เรื่องสักอย่าง
ผู้ชายคนนั้นไม่เคยคิดจะตามหาด้วยซ้ำตอนที่เซฮุนหนีออกมา
ไม่สนใจไยดี ไม่เคยแยแสลูกคนนี้ว่าจะตกระกำลำบากขนาดไหน
แล้วมันจำเป็นเหรอที่เขาจะต้องไปสนใจว่าผู้ชายคนนั้นจะตายวันตายพรุ่ง
ช่างหัวมันสิ...
เชิญอยู่กับนังนั่นให้พอใจ
แม้จะตายคนอย่างคุณท่านตระกูลโอคงต้องการนังแพศยานั่นมากกว่าลูกนอกคอกอย่างเขาอยู่แล้ว
ก็บอกแล้วว่าถ้าเขาจะกลับไป
รอนังนั่นมันตายเสียก่อนเถอะ
เขาไม่พิศวาสจะเหยียบและใช้อากาศหายใจร่วมกับผู้หญิงที่ทำลายครอบครัวของเขาจนยับเยินหรอก
ไม่มีวัน...
“วันๆก็คิดจะหมกตัวอยู่แต่ในห้อง ถามจริง
เกาะผู้หญิงแดกนี่เหนื่อยไหมวะ?”น้ำเสียงกวนประสาทที่ได้ยินเมื่อไหร่ก็หงุดหงิดเมื่อนั้น
ฮวังจื่อเทาเดินเข้ามาในห้องไม่เคาะประตูหรือขออนุญาต
เป็นสันดานเลวๆที่ติดตัวหมอนั่นมาอยู่แล้ว
ในมือของจื่อเทามีหลอดไฟขนาดยาวติดมาด้วย
จี้ฟางคงบอกให้มาช่วยเปลี่ยนหลอดไฟที่ขยันเสียบ่อยเหลือเกิน
“คนโดนเกาะยังไม่อุทธรณ์
แล้วคนอื่นจะเดือดร้อนทำไม”เซฮุนเปรย ไล่สายตามองเหยียดก่อนจะเดินออกจากห้อง
ไม่อยากจะอยู่ร่วมกับคนอย่างฮวังจื่อเทา เขาเกลียด...
เขาเกลียดมัน...
“ปากดีจังนะ ไม่เคยเข็ดไม่เคยจำ
มึงอยากจะทบทวนหน่อยไหม ครั้งสุดท้ายที่พูดจากวนส้นตีนกูสภาพเป็นยังไง”จื่อเทาไม่พอใจ
ร่างโปร่งวางหลอดไฟลงบนโต๊ะในห้องแล้วหันไปคว้าแขนขาวๆเอาไว้แน่น
เห็นนัยน์ตาสีดำสนิทนั้นไหววูบก่อนจะแข็งกร้าวดังเดิน
โอเซฮุนสะบัดแขนออกจากการกอบกุม ก้าวออกห่างคนที่เกลียดเข้าไส้
“แค่ท่อนเอ็นโสโครกแยงๆยัดๆเข้ามาในรูก้น
กูไม่จำให้เปลืองสมองกูหรอก”เซฮุนตอกกลับ บิดปากจนเบี้ยวไม่ได้รูป
แววตามีแต่ความเกลียดชังในตัวจื่อเทาจนปิดไม่มิด
เกลียด...เกลียดคนที่ทำเรื่องแบบนั้นกับเขา...เกลียดที่มันทำลายความเป็นลูกผู้ชายของเขาจนย่อยยับ
มันเกลียดเขาที่เจียนจี้ฟางอยู่ข้างเขานับตั้งแต่เรื่องเหี้ยๆนั่นเกิดขึ้นครั้งแรก
เกลียดเขาได้อยู่ที่บ้านดอกเหมยในฐานะผู้ชายของมาม่าซัง เป็นแมงดาเกาะน้าสาวของมัน
เขาก็เกลียดมันไม่ต่างกันหรอก บางที
โอเซฮุนอาจจะเกลียดฮวังจื่อเทามากกว่าที่มันเกลียดเขาเป็นร้อยเท่าพันเท่าก็ได้
100 เปอร์เซ็นต์
ถ้าเราเป็นเซฮุนเราก็ฝังใจนะ
การที่ผู้ชายคนนึงถูกผู้ชายข่มขืน(โดยที่ตัวเองไม่ใช่เกย์)มันก็น่าจะกระทบกระเทือนจิตใจเอามากๆเลยล่ะ
บุคลิกเซฮุนที่วางไว้คือเป็นคนตรงๆแรงๆรักแรงเกลียดแรง
ไม่แปลกใจทำไมถึงไม่ลงรอยกับจื่อเทาและคำพูดระหว่างสองคนนี้ก็แรงตั้งแต่แรกๆที่มีบทอยู่ฉากเดียวกัน
555555 (ที่มันได้กันครั้งแรกจะใส่เป็นตอนพิเศษให้ค่ะ
รู้แค่ว่ามันเกลียดกันก็พอเนอะ)
พยายามแก้มัดปมที่ตัวเองก่อ รู้สึกเหนื่อยมาก
มัดไว้เยอะพอควร ตามแก้ไปทีละเปาะ ทีละเปาะ ตอนนี้ก็คลายเกือบหมดแล้ว 55555555
ดีใจโคตรแล้วตอนนี้ รู้สึกดีมาก สี่ตอนที่เหลือพยายามจะไม่ผูกอะไรอีก
เหนื่อยเหลือเกินนนนน
ส่วนเรื่องนังป๋ายเสียน (ที่ทุกคนสาปส่ง)
กับนุ้งโด้ชิ่งจูเราจะใส่ในตอนพิเศษให้ค่ะ รวมถึงเรื่องเทาฮุนด้วย
จะเป็นตอนสั้นๆไม่กี่หน้าให้รู้ที่มาที่ไปเฉยๆ
ส่วนเรื่องหลักขอเดินเรื่องของจงแดอย่างเดียวเท่านั้น และถ้าจะถามว่านังป๋ายจะได้รับโทษใดใดไหม
แน่นอนว่าคนมีสาระ(เลว)แบบนี้หนีไม่พ้นความผิดตัวเองค่ะ
TBC.
#ขายตัวออลเฉิน
แมลงจี่
รักค่ะ