วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

คนขาย - 11

ลูกค้าคนสุดท้าย...

บทที่11..

คิมจงแดนอนนิ่งอยู่ในห้องไอซียู มีหน้ากากออกซิเจนครอบอยู่ที่จมูกตลอดเวลา สายชีพจรต่างๆระโยงรยางค์อยู่รอบๆกายเล็กบางนั้น หมอบอกกับอี้ชิงว่าสมองของจงแดขาดอากาศนานพอสมควร ทำให้หัวใจเต้นแผ่วเอามากๆตอนที่มาถึงมือของหมอ แต่ว่าในตอนนี้เบื้องต้นก็ช่วยให้หัวใจคนตัวเล็กนั้นกลับมาเต้นตามปรกติได้แล้ว ตอนนี้ต้องรอดูว่าจงแดจะฟื้นหรือไม่ หากพรุ่งนี้ยังไม่มีการตอบสนองใดๆอาจจะต้องพูดได้ว่าจงแดกำลังเข้าสู่อาการโคม่า
“หมออยากให้เตรียมใจเพราะคนไข้ขาดอากาศนาน ถือว่ายังดีที่ยังหายใจได้จนมาถึงมือหมอนะครับ ปรกติหากสมองขาดออกซิเจนนานคนไข้อาจหยุดหายใจและเสียชีวิตได้ทันที”อี้ชิงพยักหน้าเข้าใจ เขาขอบคุณหมออีกครั้งที่ช่วยดูแลอาการของจงแด ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ของโรงพยาบาล จื่อเทาหลังจากมาดูอาการจงแดก็กลับไปที่ร้านแล้ว เผื่อว่าเซฮุนอาจจะกลับมาจะได้จับตัวอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทันท่วงที
ส่วนคดีนั้น เบื้องต้นลงบันทึกเป็นคดีบุกรุก ทำร้ายร่างกายและข่มขืน ทางตำรวจรู้แล้วว่าคนร้ายคือเซฮุนจากการค้นประวัติคนเข้าเมือง จื่อเทาบอกว่ามีนายตำรวจไปขอสอบปากคำมาม่าซังถึงบ้านดอกเหมยทำเอาเจียนจี้ฟางเป็นลมล้มพับไปอีกรอบ
เสียงข้อความจากโทรศัพท์ของจงแดที่อี้ชิงพกติดตัวเอาไว้ด้วยดังขึ้น นี่เป็นข้อความที่ห้าแล้วที่แม่ของจงแดส่งมา อี้ชิงไม่ได้เปิดอ่านเขามองแค่ตัวป๊อบอัพที่กำลังโชว์อยู่ แม่ของจงแดถามว่าเป็นอย่างไรบ้างและดำเนินเรื่องกลับบ้านไปถึงไหนแล้ว
อี้ชิงกลืนก้อนจุกๆที่คอลงไป เขารู้สึกแย่กับการที่ต้องเห็นคนเป็นแม่รอด้วยความหวังจะได้เจอหน้าลูกชายที่อยู่ห่างกันมาหลายปี โดยที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ลูกชายของเธอนั้นกำลังนอนไม่สติอยู่ที่โรงพยาบาล

คนขาย

บ้านดอกเหมยไม่ได้เปิดทำการ ทั้งร้านมืดสนิทมีเพียงจื่อเทาที่นั่งอยู่ตรงเค้าเต้อร์คนเดียว ดวงตาคมดุมองที่ประตูหน้าร้านตลอดเวลา เขาไม่ละสายตาจากการจับสังเกตมันเลยสักวินาที ถ้าหากใครที่รออยู่โผล่มาเขาจะได้เป็นคนเข้าถึงตัวมันก่อนคนแรก

แกร็ก..
เสียงผิดปรกติที่ประดูหลังร้านดังขึ้น เพราะทั้งร้านมีเพียงความเงียบจึงได้ยินแม้ต้นเสียงจะอยู่หลังร้านก็ตาม จื่อเทาลุกพรวดวิ่งไปหลังร้านทันที ร่างสูงกัดฟันกรอดยามที่เห็นว่าคนที่เปิดประตูหลังร้านเข้ามาเป็นโอเซฮุนจริงๆ จื่อเทาตรงรี่ไปกระชากอีกคนจนต้องร้องโอดโอย คำหยาบสารพัดถูกสบถใส่หน้าไม่ทันให้ตั้งตัว
“ไอ้เหี้ย คนอย่างมึงทำไมยังมีชีวิตอยู่ มึงรู้ไหมว่าทำอะไรลงไป ไอ้สันดาน!”มือหนากดแรงบีบเข้าไปที่เนื้อแขนของอีกคน เขย่าจนร่างของเซฮุนสั่นคลอนก่อนจะเหวี่ยงไปกระแทกชั้นวางของใกล้ๆ
“อึ่ก”เสียงสะอื้นหลุดจากลำคอคนที่ถูกกระทำ เซฮุนจับแข่นที่ถูกบีบจนเจ็บเอาไว้ เขาผวาตามแรงกระชากของจื่อเทาอีกครั้ง ร่างสูงลากเซฮุนไปทางกลางร้านแล้วเหวี่ยงลงไปกอง
จื่อเทาหงุดหงิดกับท่าทีปวกเปียกของอีกคน กระชากแขนให้เซฮุนลุกขึ้นมาอย่างแรงจนได้ยินเสียงลั่นของกระดูก เซฮุนร้องโอ้ย กุมแขนที่ยังถูกกระชากอยู่แน่นแต่จื่อเทาก็ไม่สน เขาดึงรั้งจนอีกคนลุกขึ้นมานั่งสำเร็จ มือหนาจิกเข้าที่ผมแล้วบังคับให้เซฮุนเงยหน้าขึ้นมา มองใบหน้าของอีกคนเต็มตาถึงเห็นว่าดวงหน้าขาวที่เคยแสนหยิ่งทะนงนั้นเปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำตาแห้งกรังและเศษฝุ่นจากพื้นของร้าน แก้มที่เคยมีสีสันนั้นซีดขาวราวกระดาษ
คงจะดูน่าสงสารหรอกถ้าไม่รู้ว่ามันทำระยำอะไรเอาไว้
เซฮุนเบ้หน้าเพราะรู้สึกเจ็บแปลบที่แขนซ้ายซึ่งถูกกระชากอย่างแรง เขาเจ็บเหมือนกล้ามเนื้อฉีกออกจากกัน จื่อเทาไม่เบามือสักนิด ไม่เคยแม้สักครั้งที่จะออมกำลังที่ใช้ทำร้ายคนอย่างเซฮุน และยิ่งความผิดที่เขาทำไว้ในคราวนี้มันร้ายแรงสาหัสสากรรจ์
เพราะเขาฆ่าคนตาย...

วินาทีที่คิมจงแดฟุบลงคามือนั้นเขาจำได้ดี เซฮุนคลายมือออกจากคอคนที่สิ้นสติไปเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าที่เขามองว่าเป็นจื่อเทานั้นที่จริงมันไม่ใช่ มันเป็นใบหน้าของจงแดดังเดิม รอยบีบเป็นปื้นน่ากลัวพาดอยู่ที่ลำคอของอีกคนแทบทำให้เซฮุนสติแตกอีกรอบ เขาลนลาน มองหน้าอกที่ไม่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจแล้วยิ่งเหมือนจะเป็นบ้า อารามทั้งตกใจทั้งกลัวความผิดทำให้รีบแต่งตัวแล้วออกจากห้องไปในทันที ในความคิดของเขามีแต่คำว่า คิมจงแดตายแล้ว เด็กนั่นถูกเขาบีบคอจนตาย
เขาเป็นฆาตกร...
ไม่!! เขาไม่ได้ตั้งใจ เขาแค่อยากให้มันเจ็บ เขาแค่จะทำลาย เขาแค่อยากให้ฮวังจื่อเทาเจ็บจนกระอักเลือดตาย เขาไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าจงแด
เซฮุนหนีออกจากหอพักของอี้ชิงไป เขาเดินไปไม่รู้ทิศทาง น้ำตาไหลเพราะความขลาดกลัว ยิ่งคิดว่าเรื่องต้องถึงตำรวจแน่ๆยิ่งหวาดหวั่นเข้าไปใหญ่ รอจนกว่าจะมืดถึงตั้งใจกลับมาเอาของและเงินเพื่อจะหนีไปกบดานที่อื่น แต่ทว่ากลับเจอเข้ากับจื่อเทาเสียก่อน
“กูไม่ได้ตั้งใจ เพราะมึงต่างหาก มันเป็นเพราะมึง!”เถียงเสียงสั่น เขารู้ได้เลยว่าเสียงช่างสั่นสิ้นดี
“จะเพราะอะไรแต่มึงก็ทำให้จงแดเกือบตาย เกลียดกูก็มาลงที่กู ทำไมต้องไปลากคนที่ไม่เกี่ยวเข้ามา! มึงทำได้ยังไงวะเซฮุน กูอยากรู้ว่ามึงทำกับจงแดได้ยังไง ตอนมึงบีบคอเขารู้ไหมว่าเด็กนั่นจะรู้สึกแบบไหน”จื่อเทาถาม เลื่อนมือเข้าประกบที่ลำคอสวย อยากจะเน้นแรงลงไปหนักๆ เซฮุนแปลกใจแต่รู้สึกดีที่รู้ว่าจงแดยังไม่ตาย เขายื้อมือหนาออกแต่เหมือนจะไม่สำเร็จ ยิ่งคนตัวบางกว่าดิ้นรนต่อต้านจื่อเทายิ่งย้ำแรงลงไปมากขึ้น ใบหน้าของเซฮุนยิ่งซีดเข้าไปใหญ่ในทันทีที่คิดว่าจื่อเทากำลังตั้งใจจะฆ่าเขา
แรงที่กดลงมาที่คอกำลังพิสูจน์ได้ว่าฮวังจื่อเทาไม่ปล่อยคนที่ทำร้ายจงแดไปจริงๆ...
ทั้งที่คนอย่างฮวังจื่อเทาทำร้ายเขาได้อย่างเลือดเย็น แต่ปฏิบัติกับจงแดราวกับอยู่คนละโลกกับเขา...
“เพราะกูเกลียดมึงไงฮวังจื่อเทา”เสียงของเซฮุนกระท่อนกระแท่น ใบหน้าของจื่อเทาที่เขาเห็นตอนนี้ช่างทมึงทึงน่ากลัว ดวงตาคมดุไม่หวั่นไหวเลยตอนที่ลงน้ำหนังมือบีบคอเขาแบบนี้ อากาศหายใจเริ่มไม่มี เขาไม่สามารถสูดอากาศเข้าไปได้เพราะระบบทางเดินหายใจถูกปิดกั้น เซฮุนทิ้งมือที่รั้งจะให้จื่อเทาปล่อยนั้นตกลงข้างลำตัว น้ำตาหยดหนึ่งก่อตัวและไหลลงซ้ำรอยคราบเดิมที่ยังเปรอะเกรอะรังบนใบหน้า
“เซฮุน!! จื่อเทา ทำอะไร แกปล่อยเซฮุนเดี๋ยวนี้!!”ก่อนที่ดวงตาเรียวรีจะหลับลงอย่างยอมรับชะตากรรมที่ไม่สามารถสู้จื่อเทาได้ เสียงแหลมของมาม่าซังก็ดังขึ้นมา แรงทุบตีหลานชายของเจียนจี้ฟางทำให้จื่อเทาต้องปล่อยคอเซฮุนให้เป็นอิสระ
เผียะ!
เสียงฝ่ามือกระทบที่ใบหน้าดังฉาดขึ้น จื่อเทาหน้าหันไปตามแรงตบจากคนเป็นน้าสาวที่ยืนหอบตัวสั่นเทิ้ม หล่อนปราดเข้าไปดูเซฮุนหลังจากฟาดใบหน้าจื่อเทาจนเลือดซิบที่มุมปากแล้ว เสียงหวานแหลมถามว่าเซฮุนไม่เป็นไรใช่ไหม ให้อีกคนหายใจเข้าออกช้าๆ นิ้วเรียวที่ประดับด้วยสีแดงสดที่ปลายเล็บนั้นแตะเบาๆที่ลำคอซึ่งขึ้นรอยม่วงเขียวในทันทีเพราะเซฮุนเป็นคนตัวขาว
“เจ็บมากไหม”หล่อนถามเสียงเครือ เห็นเซฮุนไอโขลกก็บอกอีกครั้งว่าให้อีกคนหายใจช้าๆ
“ม่าถอยออกมา ผมจะสั่งสอนมัน มันเกือบฆ่าจงแดนะ!”จื่อเทาปาดเลือดที่เลอะมุมปากออก แรงตบของจี้ฟางไม่ใช่เบาเลยเชียว แต่นั่นไม่ได้ทำให้จื่อเทาโกรธเพราะอีกคนเป็นน้าสาวแท้ๆ ชายหนุ่มคิดแค่ตอนนี้อยากจะสั่งสอนคนที่ทำร้ายจงแดให้มันรู้สึกแบบเดียวกับที่เด็กนั่นเจอ จี้ฟางตวาดหลานชายให้ถอยห่างออกไป
“ถ้าแกยังไม่ลืมว่าเรื่องมันเกิดขึ้นก็เพราะตัวแกเองด้วย อย่าทำให้เรื่องมันเลวร้ายไปกว่านี้”มาม่าซังเอ่ย หล่อนประคองเซฮุนให้ลุกขึ้นยืน พอแตะโดนแขนข้างหนึ่งชายหนุ่มก็ร้องครางเพราะเจ็บ จี้ฟางกัดปากจนลิปสติกที่หล่อนทานั้นหลุดลอกแต่ก็พยายามประคองเซฮุนขึ้นมาจนได้
“ฉันจะพาเซฮุนไปทำแผลที่ห้อง”หล่อนบอกแล้วประคองเซฮุนเดินผ่านหน้าหลานชายไป วินาทีที่คนตัวบางผ่านตรงหน้ามือหนาก็เอื้อมจับฉับที่แขนซึ่งได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว บีบแรงลงไปหนักๆก่อนจะถาม
 “วินาทีเฉียดตายน่ะ ลองแล้วเป็นยังไง รู้สึกดีไหม!
.
.
เซฮุนนิ่ง น้ำตาไหลอาบที่ใบหน้ายังไม่หยุด...
“ถ้ามึงคิดว่าตัวเองรู้ว่าเด็กนั่นรู้สึกยังไง...มึงก็ต้องรู้ว่ากูรู้สึกยังไง”
“...”
“ทั้งที่โดนข่มขืนหรือบีบคอจนเกือบตาย...มึงคิดว่ากูรู้สึกดีหรือเปล่าล่ะ”

คนขาย

เสียงไซเรนของรถตำรวจดังอยู่หน้าร้าน เซฮุนเบิกตากว้าง ความกลัวในความผิดแล่นปราดไปทั่วร่างจนทำให้ลนลาน
“จี้ฟาง ฉันจะทำยังไงดี”เขาถามคนที่เดินเข้ามาในห้องหลังจากไปเก็บกล่องยาเรียบร้อยแล้ว เซฮุนบอกว่าไม่อยากโดนจับ เขาไม่ได้ฆ่าเด็กนั่น เขาไม่ได้ตั้งใจทำ
“เซฮุน...”มาม่าซังเรียกชื่อคู่ขาของหล่อนเสียงเบา
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ...”น้ำเสียงของเซฮุนสั่นเครือ จี้ฟางบอกว่าหล่อนเข้าใจ หล่อนเข้าใจเซฮุนเสมอ ไม่ว่าจะตอนไหน หล่อนจะอยู่ข้างเซฮุนเสมอ  แต่ในครั้งนี้เซฮุนต้องยอมรับว่าตัวเองผิด ต่อให้ไม่ตั้งใจแต่สิ่งที่เกิดไปแล้วคือการที่เซฮุนข่มขืนและพยายามฆ่าจงแด
“ทำไมล่ะจี้ฟาง... ทำไมฉันต้องเป็นคนผิดทั้งที่ฉันเองก็ไม่ได้ต่างจากไอ้เด็กนั่น...”
“...”
“ฉันก็เจ็บ...ฉันก็ถูกทำร้าย...”น้ำเสียงของเซฮุนเจ็บปวด จี้ฟางรู้สึกได้ ใบหน้าของผู้ชายที่อยู่เคียงข้างหล่อนมาหลายปีนั้นบิดเบี้ยว น้ำตาที่หล่อนไม่เคยได้เห็นอีกเลยหลังจากเหตุการณ์ที่จื่อเทาเมากำลังไหลริน เจียนจี้ฟางโอบไหล่ที่เคยยืดกว้างอย่างมั่นใจแต่ตอนนี้กลับลู่สั่นไหวไปหมด
เสียงประตูห้องถูกเปิดเข้ามาทำให้เซฮุนสะดุ้งเฮือก ใบหน้านองน้ำตามองบุรุษในชุดเครื่องแบบตำรวจที่กรูเข้ามาด้วยแววตาสั่นระริก เขาหนีไม่ได้แล้ว
“เราขอจับกุมตัวคุณในข้อหาบุกรุก ข่มขืนและพยายามฆ่า เชิญไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยครับคุณโอเซฮุน”เสียงของนายตำรวจที่พูดขึ้นดังอื้ออยู่ในหู เซฮุนส่ายหน้า เขาผวาหนีแต่ก็ถูกพุ่งชาร์จเข้าจับกุม ความชุลมุนที่เกิดขึ้นทำให้เจียนจี้ฟางหวีดกรี๊ด จื่อเทาคว้าแขนน้าสาวให้ห่างออกมา มองเซฮุนถูกนายตำรวจจับนอนราบและเอามือไขว้หลังพร้อมใส่กุญแจมือแน่นหนา ริมฝีปากบางสีซีดเอื้อนเอ่ยว่าให้ปล่อยตนเองไป
“ไม่ผิด...กูไม่ผิด กูไม่ได้ฆ่า กูไม่ได้ตั้งใจ”เสียงเจือสะอื้นทำให้จี้ฟางสงสารจับใจ หล่อนอยากช่วยเหลือแต่ก็ดิ้นหลุดจากแรงจับของหลานชายไม่ได้ จื่อเทาบอกให้มาม่าซังอยู่ที่ร้านส่วนตัวเองจะตามตำรวจไปที่โรงพัก ชายหนุ่มโทรตามอี้ชิง เมื่อรู้ว่าจับกุมเซฮุนได้แล้วอี้ชิงก็รีบตรงดิ่งจากโรงพยาบาลมาสมทบทันที เขาแทบจะปรี่เข้าไปหาต้นเหตุที่ทำให้จงแดยังไม่รู้สึกตัว ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว จนจะเลยเข้าวันใหม่ แม้แต่การตอบสนองของม่านตาต่อแสงไฟฉาย จงแดยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด...
เด็กนั่นใกล้จะเป็นเจ้าชายนิทราเข้าไปทุกที...
เซฮุนถูกนำตัวเข้าห้องขัง กุญแจมือที่ถูกล็อกไว้ด้านหลังถูกปลดออกและมาใส่ไว้ที่ด้านหน้าแทน ร่างสูงโปร่งอดีตคนรู้ใจของแม่เล้าบ้านดอกเหมยร้องไห้สะอื้นไม่หยุด พูดแต่ว่าตนเองไม่ผิดซ้ำไปซ้ำมา เห็นแบบนั้นอี้ชิงแม้จะโกรธมากขนาดไหนก็อดไม่ได้ที่จะเวทนา
“คงต้องรอให้ผู้ต้องหาสงบลงกว่านี้สักนิดเราถึงจะสอบปากคำ”หมวดเทียนบอก เขาซักถามเล็กน้อยถึงร่องรอยการถูกทำร้ายของเซฮุน จื่อเทาต้องยอมรับสารภาพว่าตัวเองบันดาลโทสะใส่เอง จื่อเทาต้องลงบันทึกประจำวันเอาไว้ว่าผู้ต้องหาขัดขืนและคิดหนีจึงต้องมีการลงไม้ลงมือเพื่อไม่ให้จื่อเทาโดนข้อหาทำร้ายร่างกาย ส่วนในตอนนี้ทั้งอี้ชิงและจื่อเทาจะกลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้ เพราะคงจะสอบปากคำอีกทีพรุ่งนี้เนื่องจากเซฮุนยังไม่หยุดโวยวาย
“กูเกลียดมึงจื่อเทา!! เพราะมึงถึงเป็นแบบนี้!”เสียงของเซฮุนดังลอดออกมาจากห้องคุมขังผู้ต้องหา ร่างสูงโปรงยืนเกาะรั้วลูกกรงเล็ก มือสองข้างถูกจองจำด้วยกุญแจมือเหล็กหนักอึ้ง ดวงตาที่มีแต่น้ำตามองจ้องตรงมาที่จื่อเทา มันแดงก่ำเพราะร้องไห้มานาน
“รู้ไหม กูไม่ได้อยากฆ่าเด็กนั่น คนที่กูอยากฆ่าคือมึงต่างหาก...”เสียงเจือสะอื้นนั้นเน้นคำว่าฆ่าจนแน่นหนัก
“...”
“กูบีบคอคิมจงแดเพราะกูเห็นมันเป็นหน้ามึงไงไอ้สารเลว ไอ้ชั่ว! คนที่ควรตายมันควรเป็นมึงไอ้ระยำ!! มึงทำลายชีวิตกู อ๊าก!!!!”เซฮุนร้องลั่น จื่อเทาและอี้ชิงตกใจเมื่อเซฮุนดิ้นปัดกระแทกลูกกรงห้องขังแรงๆจนเหล็กนั้นช่วนตามเนื้อจนได้เลือดซิบ เสียงกรีดร้องดังไปทั่วโรงพักทำให้นายตำรวจต้องกรูกันเข้าไปจับให้ผู้ต้องหาอยู่ในอาการสงบ หมวดเทียนบอกให้จื่อเทารีบออกไปดีกว่าก่อนที่เซฮุนจะคลุ้มคลั่งไปมากกว่านี้ ร่างสูงจำต้องเดินออกจากโรงพักทั้งที่หูยังได้ยินเสียงกรีดร้องของเซฮุนดังก้อง
“เพราะกูจริงๆนั่นล่ะ กูมันเลวอย่างที่เซฮุนพูดจริงๆ”น้ำเสียงของจื่อเทาดูอ่อนแรง เขาดูเหนื่อยกับทุกเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น และอดไม่ได้ที่จะโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุ อี้ชิงตบบ่าเพื่อนพูดว่าเรื่องมันจบแล้ว โทษตัวเองก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
“แต่กูเองก็เป็นคนทำให้จงแดต้องเป็นแบบนั้น”ถ้าหากเขากับเซฮุนไม่บาดหมางเสียตั้งแต่แรกมันคงไม่เป็นแบบนี้ อี้ชิงถอนหายใจออกมา เขาบีบบ่าของจื่อเทาให้กำลังใจ บอกว่าถึงอย่างไรมันก็จบลงแล้ว มันกำลังจบลงเสียที ตอนนี้เรื่องที่น่าห่วงคือเรื่องของจงแด การที่จื่อเทาโทษตัวเองไม่ได้ทำให้จงแดหายเจ็บ
“มึงกลับไปดูน้ามึงเถอะ”อี้ชิงบอก สภาพจิตใจของมาม่าซังตอนนี้คงต้องการใครคอยดูแลเช่นกัน เขาแยกกับจื่อเทาแล้วกลับมาเฝ้าคนที่นอนในห้องไอซียูอีกครั้ง ถามเรื่องอาการกับพยาบาลก็บอกว่ายังคงไม่รู้สึกตัวเช่นเดิม

คนที่ร้องห่มร้องไห้สะอื้นจนตัวโยนเบียดกายเข้ากับมุมกำแพงของห้องขัง ตำรวจออกไปหลังจากที่เซฮุนสงบสติอารมณ์ได้ แต่ความจริงเขาแค่หมดเรี่ยวแรงจะดิ้นรนอีกต่อไป เขาเจ็บไปหมดทั้งตัว ยิ่งลำคอยิ่งร้าวราน แขนข้างหนึ่งยังแปลบปลาบในตอนขยับ
ทำไมถึงเป็นแบบนี้...
ทำไมถึงมีแค่เขาคนเดียวที่เจ็บปวด
ในความคิดหนึ่งเซฮุนคิดว่าเขาอยากกลับบ้าน...เขาไม่อยากอยู่ที่นี่ เขาอยากไปให้พ้น แต่ถ้ากลับไปบ้าน ถ้าเขากลับไปมันก็ไม่มีที่สำหรับเขาเช่นกัน บ้านที่มีพ่อซึ่งไม่เคยสนใจไยดี กับผู้หญิงที่มาแทนที่แม่ของเขาและลูกชายของหล่อน นั่นยังเรียกว่าบ้านได้อีกหรือ
มีที่ไหนบ้างที่เขาจะไปได้...
เซฮุนไม่อยากจะอยู่ตรงนี้อีกแล้ว...
...ไม่อยากอยู่อีกแล้ว
ร่างสูงโปร่งขยับเข้าชิดลูกกรงเหล็กอีกครั้ง เพราะดึกมากแล้วโรงพักจึงเปิดไฟแค่พอสลัว นายตำรวจเพียงสองนายต่างประจำที่โต๊ะของตัวเอง เซฮุนกัดปากแน่น เขาปลดเอาเข็มขัดที่ใส่อยู่ออกมา มองสายรัดเอวที่ทำจากหนังอย่างดี น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วไหลลงมาอีกครั้ง
เขาจะไม่อยู่ที่นี่ เขาจะไปจากที่นี่ ไปที่ไหนก็ได้ที่เขาอยากจะไป จะล่องลอยไปอย่างที่เขาต้องการ...
สายหนังถูกคล้องกับลูกกรงเหล็กทำเป็นบ่วง เซฮุนน้ำตาไหลพรากตอนที่ทาบคอลงกับสายของเข็มขัด ทิ้งน้ำหนักลงอย่างแรงจนสายหนังนั้นกระแทกคอ รอยช้ำจากฝีมือจื่อเทาถูกซ้ำด้วยแรงกดของตัวเซฮุนเอง ความเจ็บแล่นร้าวไปทั่ว เขาหายใจไม่ออก แต่บอกตัวเองให้ทนต่อไป อีกนิดเดียวก็จะเป็นอิสระแล้ว...
ในหัวของเซฮุนตื้อไปหมด หูเขาอื้อฟังไม่ได้ยินเสียงอะไร มือป่ายปัดดีดดิ้นไปมา เขาทรมาน แต่ยังคงย้ำว่าอีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น มันจะจบลงแล้ว
น้ำตาไหลจากดวงตาอาบใบหน้าซีดเซียวไหลลงคางแล้วหยดเป็นดวงที่พื้น เซฮุนเบิกตากว้างร่างกายกระตุกสั่นรุนแรง แต่ยิ่งกระตุกสายเข็มขัดเหมือนจะยิ่งรัดเข้าไปจนแน่น เสียงร่างกระทบลูกกรงดังขึ้นจนนายตำรวจต้องเดินมาดู เขาไม่รู้ว่านายตำรวจคนนั้นพูดว่าอะไร ดวงตาที่เบิกโพลงเห็นแค่ภาพของตำรวจคนนั้นร้อนรนไขประตูห้องขังเข้ามาก่อนภาพทุกอย่างมันจะพร่าเลือนไปหมด ลำคอที่เจ็บร้าวจากแรงกดของสายหนังนั้นไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป ร่างกายของเซฮุนกระตุกครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดเอาไว้เพียงแค่วินาทีนั้น
หยุดหมดทุกอย่าง...
ไม่ว่าจะเวลาที่เหลือ ลมหายใจ หรือชีวิตของโอเซฮุนก็ตามที

คนขาย

อี้ชิงมองร่างที่นอนอยู่บนเตียงเหล็กในห้องเก็บศพ เสียงร้องไห้ของเจียนจี้ฟางดังจนก้องไปทั้งห้อง เมื่อคืนหลังจากที่อี้ชิงและจื่อเทาแยกย้ายกันเพียงไม่นานเขาก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าโอเซฮุนผูกคอเสียชีวิตในห้องขัง โดยตำรวจลงความเห็นกันว่าเป็นการฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิด ทางตำรวจนำร่างของเซฮุนมาที่โรงพยาบาลและให้ญาติมาดูศพในช่วงเช้าแทนเพราะเวลานั้นดึกมากแล้ว
เขาตบบ่าจื่อเทาแล้วบีบมันเบาๆ รู้ว่าเพื่อนกำลังโทษตัวเอง ได้แต่บอกให้อีกคนอย่าคิดมาก ถึงจะรู้สึกช็อคและเสียใจกับการจากไปของเซฮุนเช่นกันแต่อี้ชิงก็อยู่ที่นี่เพื่อดูศพนานไม่ได้ เขาบอกให้จื่อเทาดูแลจี้ฟางด้วย มาม่าซังโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด หล่อนไม่ประทินโฉมด้วยเครื่องสำอางเช่นเดิม ดวงตาแดงก่ำเพราะการร้องไห้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้ากับการสูญเสียเซฮุนไป
อี้ชิงแยกออกมาเฝ้าจงแดที่ห้องไอซียู เขาสอบถามถึงอาการคนตัวเล็กจากพยาบาลเธอก็ยังคงตอบคำเดิมว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
“คุณหมอให้เป็นคนไข้โคม่าแล้วนะคะ”พยายาบาลสาวบอกกับอี้ชิงเพื่อให้ทราบว่าจะทำการสอดสายยางเพื่อให้อาหารเหลวคนไข้ต่อไปเนื่องจากแนวโน้มการรับรู้ของจงแดนั้นมีโอกาสน้อยเอามากๆ
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังอยู่หลายครั้งแล้วก็เงียบไป อี้ชิงหน้านิ่ว มองเบอร์ที่โทรเข้ามาเครื่องจงแดอย่างชั่งใจ เขาไม่กล้ารับ...ไม่กล้ารับสายแม่ของจงแด เขาไม่รู้จะตอบคำถามของแม่จงแดว่าอะไรถ้าหากเธอถามว่าลูกชายเธออยู่ที่ไหน อี้ชิงเก็บโทรศัพท์ของจงแดใส่กระเป๋าตามเดิม เขาเปลี่ยนชุดเยี่ยมไข้แล้วเข้าไปดูจงแดด้านในห้องไอซียู น้องเหมือนหลับไปเฉยๆเท่านั้น ใบหน้ายังมีรอยแผลช้ำแตก และคอก็ประดับด้วยรอยบีบเป็นปื้น อี้ชิงจับมือของจงแดแล้วบีบเบาๆ
“ตื่นมาเถอะจงแด นายอยากกลับบ้านไม่ใช่เหรอ ตื่นมาแล้วพี่จะพาเรากลับบ้านนะเด็กดี”เขากระซิบบอกกับคนที่นอนนิ่ง ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นตอนนี้จงแดอาจจะเตรียมตัวกลับเกาหลีอย่างมีความสุข เด็กนี่จะต้องขอร้องให้พาไปทำพาสปอร์ต พาไปซื้อของฝากแม่กับจูจิน และลืมไม่ได้ต้องขอให้พาไปหาพ่อแม่ของเขาครั้งสุดท้าย แต่ความเป็นจริงคือจงแดกำลังนอนไม่รู้สึกตัวอยู่บนเตียง...
อี้ชิงเดินออกจากห้องไอซียูไปแล้ว เขาต้องไปมหาวิทยาลัยเพื่อจัดการเรื่องรับปริญญาและชุดครุย ตอนนี้ในห้องไอซียูจึงมีแค่ร่างผอมบางบนเตียงคนไข้กับกลิ่นยาฆ่าเชื้อที่ลอยตลบอบอวน เสียงสัญญาณชีพที่ดังเป็นจังหวะเสมอกังวานไปทั้งห้อง เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นก่อนที่พยาบาลสาวจะเข็นรถเข็นไปจอดข้างๆเตียง เธอตรวจเช็คค่าอัตราต่างๆที่จอมอนิเตอร์เหนือหัวเตียงตามปรกติ เธอเลิกคิ้วแล้วรีบกดกริ่งเรียกหมอเมื่อสังเกตว่ามือเรียวยาวที่วางอยู่ข้างตัวของคนไข้นั้นกำลังขยับน้อยๆ

“น้องผมเป็นยังไงบ้างครับ!”อี้ชิงวิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดตรงหน้าพยาบาลเวร เขาเพิ่งเดินลงไปถึงลานจอดรถ พยาบาลก็โทรไปแจ้งว่าจงแดมีอาการตอบสนองแล้วทำให้อี้ชิงทิ้งเรื่องรับปริญญากับชุดครุยแล้วรีบวิ่งขึ้นมาอีกรอบ พยาบาลบอกว่าตอนนี้หมอกำลังตรวจอยู่ เบื้องต้นคนไข้แค่ขยับมือได้เองเท่านั้น
“แค่นั้นก็ดีแล้วครับ”เขาพูด รอยยิ้มกว้างอย่างมีความหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอี้ชิง เขาเดินไปนั่งเก้าอี้ด้านหน้าห้องแล้วจ้องบานประตูที่ปิดสนิทอยู่นาน เมื่อหมอออกมาก็รีบเข้าไปถามถึงอาการของจงแดทันที นายแพทย์หนุ่มปลดผ้าปิดปากที่ใส่ออกก่อนจะยิ้มอ่อนๆให้
“คนไข้มีปฏิกิริยาตอบสนองบางส่วนครับ ปาฏิหาริย์มากจริงๆ”นายแพทย์พูด ทั้งที่เพิ่งจะให้เป็นคนไข้โคม่าไปแท้ๆ แต่จงแดกลับรู้สึกตัวขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ อี้ชิงยิ้มกว้าง เขาขอบคุณหมอแล้วปล่อยให้หมอหนุ่มแยกออกไปอีกด้านเพื่อสั่งงานนางพยาบาล
Rrr
เสียงโทรศัพท์ของจงแดที่อยู่ในกระเป๋าดังขึ้นอีกครั้ง อี้ชิงเปลี่ยนสีหน้าเป็นกังวลใจ เพราะยังไม่กล้าจะรับสายแม่ของจงแดอยู่ดี แต่พอลองคิดดูถ้าเขาเองเป็นแม่ของจงแด เขาจะรู้สึกอย่างไรในตอนนี้กัน กระวนกระวาย กังวลใจกับการที่ติดต่อลูกชายไม่ได้ เขาควรจะบอกความจริงแม่จงแดไปเสีย อย่างไรเธอก็จะรู้ในที่สุด ไม่ว่าจงแดจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ก็ตาม ชายหนุ่มตัดสินใจกดรับก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู เสียงภาษาเกาหลีแทรกเข้ามาในทันที เป็นคำที่อี้ชิงไม่เข้าใจนัก เขาพยายามแทรกบทพูดของปลายสาย
“ขอโทษนะครับ”เมื่อได้ยินเสียงคนที่ไม่ใช่ลูกชายก็ดูเหมือนเธอจะชะงักไป อี้ชิงบอกว่าเขาเป็นพี่ร่วมห้องจงแดที่เคยรับสายเธอวันที่จงแดป่วย ปลายสายได้ยินแบบนั้นก็ร้องอ๋อ ถามว่าแล้วจงแดไปไหน เธอทั้งส่งข้อความและโทรมาหลายสายก็ไม่รับเลย อี้ชิงเงียบพักหนึ่ง เขาฟังดูก็รู้ได้ว่าอีกคนนั้นห่วงลูกชายขนาดไหน
“คุณน้าครับ...”เขาเรียกปลายสาย พูดว่าให้เธอทำใจให้ดีๆ ได้ยินแบบนั้นแม่ของจงแดยิ่งใจไม่ดี เธอถามละล่ำละลักว่าเกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรกับลูกชายของเธอ อี้ชิงผ่อนลมหายใจยาว
“จงแด...อาการโคม่าอยู่ที่โรงพยาบาลครับ”
.
.
เงียบ...
ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากปลายสาย รออยู่เกือบนาที เสียงแผ่วเบาจากคนที่อยู่อีกประเทศจึงถามว่าพูดจริงๆใช่ไหม อี้ชิงจำใจตอบว่าใช่...แต่ตอนนี้อาการจงแดมีแนวโน้มดีขึ้นแล้ว น้องเพิ่งขยับมือได้ แต่เหมือนคำพูดของอี้ชิงไม่ได้ทำให้อีกคนรู้สึกดีขึ้น เพราะอี้ชิงได้ยินเสียงสะอื้นดังลอดมาในสาย
-ทำไมเขาถึงโคม่าได้กัน เขาเพิ่งคุยกับฉันไม่นานมานี้เองว่าจะซื้อของมาฝากจูจิน อึ่ก..-
แม่ของจงแดสะอื้นหนัก อี้ชิงได้แต่โกหกว่าจงแดถูกทำร้าย บางเรื่องก็ควรจะปล่อยให้มันผ่านไป ถ้ามันจะทำให้คนอื่นเสียใจก็ควรจะเก็บให้เป็นความลับ ทั้งเรื่องอาชีพของจงแดและเรื่องที่จงแดถูกทำร้าย จิตใจของคนเป็นแม่จะรับได้อย่างไรหากรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เธอถามว่าอี้ชิงอยู่ที่ไหน เธอจะมาหาลูกชาย เธอจะไม่ยอมอยู่รอที่เกาหลีอีกแล้ว เพราะเธอกับลูกสาวตั้งหน้าตั้งตารอการกลับไปของจงแดมาหลายปีแล้ว พอจะได้กลับไปหากันจริงๆทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้
“คุณน้าใจเย็นๆก่อนนะครับ”อี้ชิงได้แต่พูดแบบนั้นออกไป จะให้เธอใจเย็นจริงๆคงไม่ได้ ถ้าหากรู้ว่าลูกชายกำลังโคม่าอยู่แบบนี้ ทว่าการจะมาจีนของแม่จงแดปุบปับคงมาเลยไม่ได้ ทั้งวีซ่า พาสปอร์ตไหนจะจูจินอีกคน เธอและลูกสาวไม่เคยออกนอกประเทศอีกทั้งยังฐานะยากจน คงยากที่จะเร่งรัดได้ในเร็ววัน
แม่ของจงแดร้องโฮ เธอบอกว่าจะทำใจเย็นได้อย่างไรกัน ตอนนี้หัวใจของเธอเหมือนถูกบีบจนปวดไปหมด
 “ได้โปรดรอนะครับคุณน้า ยังไงก็ตามผมจะพาจงแดกลับบ้าน”อี้ชิงบอก จงแดมีปฏิกิริยาอบสนองบ้างแล้ว เขาเชื่อว่าน้องจะต้องฟื้นขึ้นมาเร็วๆนี้ ยังไงก็ขอให้แม่ของจงแดรออยู่ที่เกาหลีก่อน แล้วติดต่อถามความคืบหน้าอาการผ่านทางโทรศัพท์
“ผมขอโทษที่ดูแลเขาไม่ดีพอนะครับ”อี้ชิงพูด ปลายสายบอกอย่าว่าตัวเองแบบนั้นเลย เธอบอกว่าต้องกลับไปทำงานแล้ว ถ้าหากจงแดดีขึ้นอย่างไรให้รีบโทรหาเธอทันที อี้ชิงรับปากแล้วเสียงสะอื้นของแม่จงแดก็เงียบไปพร้อมการตัดสาย อี้ชิงรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกเมื่อได้พูดออกไป แม้จะเก็บความจริงบางเรื่องเอาไว้ก็ตามที

คนขาย

อาการของจงแดเหมือนจะดีขึ้นตามลำดับ อี้ชิงมาเฝ้าน้องทุกวัน เขาโทรไปบอกแม่และพ่อของตัวเองแล้วทางนั้นดูตกใจโดยเฉพาะแม่ที่เป็นลมล้มพับไป ท่านทั้งสองไม่สามารถมาเยี่ยมได้เพราะงานก่อสร้างที่ทำนั้นเร่งงานให้เสร็จ ห้ามคนงานหยุดจึงฝากฝังให้อี้ชิงดูแลจงแดให้ดี
หมอบอกว่าตาของจงแดเริ่มมีการตอบสนองต่อแสงมากขึ้น และนิ้วมือกับนิ้วเท้าก็เริ่มขยับบ่อยครั้ง เป็นสัญญาณดีว่าเราอาจจะได้จงแดกลับคืนมาในเร็ววัน
แม่ของจงแดโทรมาทุกวันโดยไม่คิดว่ามันจะเปลืองเงินมากมายขนาดไหน ร้องห่มร้องไห้ว่าจงแดเป็นอย่างไรบ้าง อยากให้จงแดฟื้นขึ้นมาเร็วๆแล้วกลับไปหาจูจิน น้องสาวของจงแดไม่รู้ว่าพี่ชายป่วยจึงถามแม่ทุกวันว่าเมื่อไหร่พี่ชายจะกลับมา คนเป็นแม่ต้องกลั้นน้ำตาบอกว่าอีกสักพักใหญ่ๆ โกหกลูกว่าจงแดติดธุระยังกลับไม่ได้ ได้ยินแบบนั้นเด็กหญิงก็หน้าเศร้า เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องยื้อเวลาต่อไป เธอไม่ต้องการให้จูจินรู้
อี้ชิงบีบมือเล็กแน่นๆอีกครั้งหนึ่งอย่างที่ชอบทำเวลามาเยี่ยมจงแด เขานั่งข้างเตียงและบีบมือของจงแดไว้อย่างนั้น แรงขยับที่นิ้วชี้เบาๆทำให้อี้ชิงมีความหวังขึ้นทุกที เขาเรียกชื่อจงแดถามว่าน้องฟื้นแล้วใช่ไหม
“จงแด!”อี้ชิงเรียกชื่อคนที่นอนนิ่งอีกครั้ง เขาเห็นเปลือกตาของจงแดกำลังขยับ รอยยิ้มดีใจปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มกดเรียกพยาบาลและหมอย้ำๆ ปากก็ไม่หยุดเรียกชื่อจงแดไปด้วย แพขนตาที่ปิดทับกันนั้นไหวสั่นก่อนที่มันจะค่อยๆแยกออกจากกันช้าๆ มือที่กุมกันอยู่บีบแน่นแม้แต่ตอนที่หมอกับพยาบาลเข้ามาด้านในแล้วก็ตาม
นายแพทย์หนุ่มเข้าไปประชิดข้างเตียง อี้ชิงจำต้องปล่อยมือจงแดออกแล้วมายืนมองที่มุมห้องแทน พยาบาลให้เขาออกไปรอนอกห้องแต่อี้ชิงขอร้องอยู่ดูก่อน เขาอยากเห็นให้แน่ใจว่าจงแดฟื้นแล้ว น้องกำลังพยายามจะลืมตา หมอแตะที่บ่าเล็กเบาๆพร้อมเรียกชื่อ เปลือกตาที่ขยับยุกยิกนั้นค่อยๆเปิดลืมขึ้น อี้ชิงไม่รู้ว่าเขายิ้มกว้างขนาดไหนตอนที่เห็นจงแดลืมตาขึ้นมา หมอส่องไฟฉายผ่านดวงตาของจงแดเพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนอง
“ไปรอด้านนอกก่อนนะคะคุณ”พยาบาลสาวบอกอีกครั้ง คราวนี้อี้ชิงยอมออกไปโดยดี เขารีบโทรไปบอกแม่ของจงแด เธอดีใจจนต้องร้องไห้ออกมา เหมือนหัวใจที่แทบจะหยุดเต้นตอนรู้ว่าลูกมีอาการโคม่านั้นกลับมาเต้นรุนแรงกว่าเดิมเพียงรู้ว่าลูกฟื้นแล้ว

เมื่อทำการตรวจเรียบร้อยแล้วนายแพทย์หนุ่มจึงออกจากห้องมาพร้อมพยาบาลอีกสองสามคน มีบางส่วนดูแลความเรียบร้อยอยู่ด้านใน อี้ชิงตามหมอเข้าไปในห้องตามที่อีกคนเรียกเพื่อฟังอาการล่าสุดของจงแด
“ผู้ป่วยสามารถลืมตาเองได้ ม่านตาตอบสนองต่อแสง แต่หมอตรวจแล้วเขาไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าอื่นๆนะครับ อาการแบบนี้พบได้บ่อยสำหรับคนที่ฟื้นจากอาการโคม่ามา เราเรียกว่าภาวะผัก”อี้ชิงไม่เข้าใจถึงความหมาย หมอจึงอธิบายเพิ่มเติมว่าเป็นอาการที่ผู้ป่วยตื่นจากโคม่าแต่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าใดๆ อาจมีการขยับร่างกายบางส่วนเองซึ่งเป็นไปตามกลไกของร่างกายไม่ใช่การกระทำที่เกิดจากการสั่งการของสมอง
“เขาจะไม่รับรู้และตอบสนองสิ่งที่ใครก็ตามทำต่อเขาครับ”นายแพทย์ขยายความรวบยอด อี้ชิงถามว่าอาการนี้จะหายไหม
“หากได้รับการดูแลอย่างดีมีสิทธิ์ที่จะหายครับ...แต่ถ้าเกินหนึ่งปีผู้ป่วยยังไม่หายก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นภาวะผักถาวร”คุณหมอยิ้มบางๆให้เมื่อเห็นว่าอี้ชิงสีหน้าไม่สู้ดี เขาปลอบใจว่าถ้าเกิดปาฏิหาริย์ก็มีโอกาสจะหายเป็นปรกติภายในหนึ่งเดือน
“ห้ามหมดกำลังใจนะครับ ถ้าคุณดูแลเขาดีเขาก็มีโอกาสกลับมาเร็วขึ้น”นายแพทย์หนุ่มกำชับ อี้ชิงขอบคุณหมอสำหรับคำแนะนำทุกอย่าง เขาถามเรื่องการย้ายจงแดไปดูแลที่บ้านก็ได้รับคำตอบว่าหากอาการของคนตัวเล็กทรงตัวมากขึ้นก็สามารถย้ายกลับไปดูแลที่บ้านได้
อี้ชิงโทรบอกอาการกับแม่ของจงแดอีกครั้ง เธอร้องไห้เสมอเวลารับโทรศัพท์จากอี้ชิง คราวนี้ก็อีกครั้งเมื่ออี้ชิงบอกถึงอาการของจงแดให้ฟัง แม่ของจงแดสะอื้นฮั่ก พูดว่าจะมาหาจงแดให้ได้ เธอทนคอยอยู่ที่เกาหลีไม่ไหวอีกแล้ว เธอจะเป็นคนดูแลลูกชายของเธอเอง เธอจะพยายามทำให้จงแดหายจากอาการนี้ให้ได้ อี้ชิงเข้าใจเธอและพยายามปลอบใจ
“ผมจะพาน้องกลับไปเองครับ”เขายืนยัน ขอให้แม่ของจงแดรออีกนิด ยังไงเขาก็จะพาจงแดกลับไปบ้านอย่างแน่นอน
อี้ชิงสอบถามเรื่องการย้ายผู้ป่วยไปต่างประเทศ เขาไปเดินเรื่องเอกสารต่างๆสลับกับมาดูจงแดทุกวัน ส่วนงานที่บ้านดอกเหมยเขาไม่ได้ไปทำแม้บ้านดอกเหมยจะเริ่มทำการปรกติหลังจากปิดไปหลายวันเพราะมาม่าซังยังเสียใจเรื่องเซฮุนอยู่ สุดท้ายผู้หญิงเก่งๆอย่างหล่อนก็ลุกขึ้นมาเข้มแข็งได้อีกครั้งหนึ่ง เรื่องรับปริญญาเขาก็ไหว้วานให้เพื่อนช่วยลงทะเบียนและฟังรายละเอียดต่างๆรวมถึงจัดการเรื่องชุดครุยให้
อาการของจงแดเริ่มดีขึ้นเรื่อง แผลต่างๆจางลงมากแล้ว บางครั้งคนตัวเล็กก็ลืมตาขึ้นมามองไปรอบๆห้อง อี้ชิงพยายามพูดด้วยแต่ผลก็คือจงแดไม่รับรู้อะไรก็ตามที่เขาสื่อสารไปทั้งสิ้น เครื่องช่วยหายใจถูกถอดออกไปไม่กี่วันก่อนเมื่อจงแดสามารถหายใจเองได้แล้ว แต่ต้องคอยระวังเรื่องการสำลักต่างๆให้มาก โดยเฉพาะเสมหะ ส่วนเรื่องอาหารยังคงต้องให้อาหารทางสายยางอยู่เพราะผู้ป่วยไม่สามารถเคี้ยวและกลืนอาหารตามปรกติได้
อี้ชิงอธิบายเรื่องพวกนี้ให้แม่ของจงแดฟังแล้ว เธอบอกว่าไม่เหนือบ่ากว่าแรงถ้าหากจะต้องดูแลลูกชายของเธอ ขอแค่ให้จงแดกลับไปบ้านก็พอ เธอจะทำทุกอย่าง ขอแค่ได้อยู่พร้อมหน้ากันทั้งสามคน เธอ ลูกชายและลูกสาว

คนขาย

การขนย้ายผู้ป่วยข้ามประเทศเป็นเรื่องยุ่งยากอีกทั้งยังใช้เงินจำนวนมาก ยังดีที่มาม่าซังรู้เรื่องนี้ดี หล่อนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องค่าใช้จ่ายบางส่วน รวมถึงได้แพทย์เจ้าของไข้ของจงแดที่ช่วยประสานงานในหลายๆด้านให้ทำให้การย้ายจงแดกลับเกาหลีนั้นราบรื่นด้วยดี จงแดนอนอยู่บนเตียงลำเลียงในพื้นที่ที่พนักงานของสายการบินจัดการให้ ข้างๆเป็นที่นั่งของอี้ชิงและจื่อเทาที่ตามไปส่งจงแดที่เกาหลีด้วยกัน
สภาพเพื่อนรักอี้ชิงตอนนี้เรียกได้ว่าโทรมสุดๆ แม้จะพูดว่าอย่าโทษตัวเองแต่จื่อเทาก็อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็เพราะตัวเขาเอง ร่างสูงเอาแต่ทำงานหนักเพื่อจะได้ไม่ต้องคิดมาก สภาพก็เลยย่ำแย่อย่างที่อี้ชิงเห็น
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับหมอ”อี้ชิงพูดกับนายแพทย์หนุ่มที่มาส่งคนไข้ในการดูแลด้วยตนเอง คุณหมอยิ้มแล้วบอกว่ามันเป็นหน้าที่และจรรยาบรรณแพทย์อยู่แล้ว กำชับให้ดูแลผู้ป่วยอย่างดี แล้วหมอเองจะรอดูวันที่จงแดหายจากภาวะผักเช่นกัน
ผู้โดยสารทยอยขึ้นมาบนเครื่องบินตามกำหนดเวลาก่อนจะนั่งกันเต็มทุกที่นั่ง แอร์โฮสเตสและกัปตันต่างทำหน้าที่ของตนเองเป็นอย่างดี แอร์ฯสาวแวะเวียนมาคอยเช็คความต้องการของอี้ชิงและตรวจดูความเรียบร้อยของจงแดสม่ำเสมอ จื่อเทาหลับไปเพราะความเหนื่อยล้าสะสมแต่อี้ชิงตื่นตลอดเวลาเพื่อคอยสังเกตอาการจงแด

เครื่องบินโดยสารแลนดิ้งลงสู่สนามบินนานาชาติอินชอน ผู้โดยสารทุกคนถูกปลุกโดยแอร์โฮสเตสสาวให้เตรียมตัวเพราะเครื่องกำลังลงจอด อี้ชิงมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน
“ถึงบ้านแล้วนะจงแด”เขาหันมาบอกคนที่นอนหลับตาสนิทอยู่บนเตียงลำเลียง ผู้โดยสารคนอื่นๆสามารถลงจากเครื่องเพื่อไปรับกระเป๋าได้เลยแต่อี้ชิงและจื่อเทายังคงอยู่รอทีมแพทย์ซึ่งโรงพยาบาลทางจีนติดต่อประสานงานให้มาช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยลงจากเครื่อง เมื่อย้ายจงแดลงมาเรียบร้อยแล้วแพทย์สนามก็ตรวจสอบความเรียบร้อยและอาการของจงแดอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดระหว่างขนย้าย
ทีมแพทย์ของเกาหลีไม่เพียงมาช่วยเรื่องการขนย้ายผู้ป่วยลงจากเครื่องบินแต่ช่วยพาจงแด อี้ชิงและจื่อเทาไปยังบ้านที่จะให้ผู้ป่วยพักอาศัยด้วย อี้ชิงลงจากรถตู้ของโรงพยาบาลเมื่อคนขับบอกว่าถึงจุดหมายแล้ว บ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่งอยู่ตรงหน้าของเขา มีชิงช้าอันหนึ่งที่คงไว้ให้จูจินนั่งที่หน้าบ้าน ข้างๆมีสวนหย่อมเล็กๆไว้ปลูกดอกไม้สีสวยๆนิดหน่อย เขาช่วยพยาบาลชายยกจงแดลงจากเตียงเพื่อใส่เปลให้สะดวกกับการขนย้าย พยาบาลสาวคนหนึ่งกำลังเรียกให้คนในบ้านออกมาเปิดประตูให้
“จงแด!!”ผู้หญิงคนหนึ่งเปิดประตูบ้านออกมา เพียงเห็นว่ารถพยาบาลกำลังจอดอยู่หน้าบ้านเธอก็ร้องเรียกชื่อจงแดเสียงดัง กุลีกุจอใส่รองเท้ารีบมาเปิดประตูให้ทันที
แม่ของจงแดยังดูสาวอยู่เลย อย่างน้อยก็ดูอ่อนกว่าแม่ของอี้ชิง ตัวของเธอเล็กนิดเดียวจึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมจงแดถึงตัวเล็กนัก
“อี้ชิงใช่ไหมคะ? เข้ามาก่อนเถอะค่ะ”เธอหันมาถามแชวนเข้าบ้าน อี้ชิงเห็นเธอเริ่มร้องไห้ทันทีที่เห็นใบหน้าของลูกชายที่อยู่บนเปลเคลื่อนย้ายชัดๆ แม่ของจงแดนำทางให้พยาบาลชายหามเปลเคลื่อนย้ายไปยังในบ้าน โถงกว้างๆด้านในมีเตียงพยาบาลหลังหนึ่งตั้งอยู่พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์บางชนิดที่จำเป็น อี้ชิงเป็นคนบอกให้เตรียมเอาไว้เองตามคำแนะนำของหมอ
ร่างผอมบางถูกย้ายวางลงบนเตียงดังกล่าว พยาบาลที่มาด้วยกันต่อสายอาหารและทดลองใช้งานเครื่องมือต่างๆเช่นที่ดูดเสมหะว่าพร้อมใช้ เธออธิบายวิธีการใช้และการดูแลผู้ป่วยอย่างละเอียดเป็นภาษาเกาหลีที่บางครั้งอี้ชิงก็ฟังไม่ออกเช่นกัน แม่ของจงแดตั้งใจฟัง เธอจับมือของลูกชายเอาไว้แน่นและน้ำตาก็ไหลไม่หยุด
“จงแด...”เสียงของเธอทอดอ่อน มือแม้เหี่ยวย่นไปบ้างแต่ด็เป็นมือเดิมที่เคยลูบหัวจงแดเมื่อครั้งยังเด็ก เธอลูบหัวลูกชายแล้วก้มลงหอมแก้มซูบซีดก่อนจะหยิบทิชชู่เปียกมาเช็ดออกเพราะกลัวลูกชายจะสกปรก
“เขาโตขึ้นมาก มากกว่าที่เห็นจากรูปเสียอีก”เสียของเธอสั่น คนเป็นแม่จับเนื้อตัวลูกชายแล้วบอกว่าผอมกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก เธอผิดเองที่ตอนนั้นยอมให้ลูกไปทำงานที่อื่นอยู่ห่างไกลตนเอง ทั้งที่รู้ว่าจงแดต้องไม่ดูแลตัวเองแน่ๆ
“ทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อคุณน้านะครับ”อี้ชิงพูด แม่ของจงแดบอกว่าเธอรู้ดี จงแดทำเพื่อครอบครัวเสมอมา
“เขาเป็นเด็กดีมากๆเลยใช่ไหมคะ?”เธอถาม อี้ชิงยิ้มบางๆก่อนตอบว่าใช่ เป็นเด็กดีแบบที่เขาไม่คิดว่าจะมีคนแบบนี้บนโลก คนที่คิดถึงแต่คนอื่นจนไม่ยอมรักตัวเอง คนที่ทุกลมหายใจมีแต่แม่กับน้อง ทำทุกอย่างแม้แต่การเอาศักดิ์ศรีของตัวเองลงไปให้คนอื่นเหยียบย่ำ ถ้าแลกมากับเงินทองเอาไปจุนเจือครอบครัว ทำให้ครอบครัวสบายแม่น้องมีความสุข เด็กคนนี้ก็แทบไม่ลังเลเลยด้วยซ้ำ
“แล้วนี่พักกันที่ไหนคะ? พักกันที่นี่ก็ได้นะถ้าไม่รังเกียจ ฉันอยู่กับจูจินแค่สองคน มีห้องว่างอีกห้องที่เตรียมไว้ให้จงแด แต่คงไม่ได้ใช้แล้ว”เธอเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าพลางถาม อี้ชิงมองหน้ากับจื่อเทา เขาตอบตกลงเพราะดีกว่าออกไปหาที่อยู่เองเนื่องจากเที่ยวบินกลับยังไม่ได้จองกันเอาไว้ อีกอย่างก็คิดจะไปเที่ยวก่อนกลับไปรับปริญญา และถือโอกาสให้จื่อเทาผ่อนคลายเสียบ้างด้วย
จูจินน้องสาวของจงแดวันนี้ไปเรียน แม่ของจงแดเล่าให้ฟังว่าจูจินเป็นเด็กเรียนดี เด็กหญิงชอบพูดว่าอยากจะขอทุนเรียนพี่ชายจะได้ไม่ลำบากแล้วกลับมาอยู่ด้วยกัน รูปของเด็กหญิงตัวเล็กในชุดบัลเล่ต์ที่อยู่ในกรอบลายการ์ตูนถูกหยิบมาให้อี้ชิงและจื่อเทาดู แม่ของจงแดดูภูมิใจกับลูกสาวๆมากๆที่ได้แสดงบัลเล่ต์งานโรงเรียน อี้ชิงอดจะชมไม่ได้ว่าคิมจูจินน่ารักเหมือนนางฟ้าอย่างที่จงแดเคยบอกเอาไว้ไม่มีผิด ใบหน้าแม้จะยังเยาว์อยู่ก็ดูออกว่าถอดกันมาทั้งพี่ทั้งน้อง
“จงแด...จงแดลูก”เสียงแม่ของจงแดดังขึ้น เธอเรียกชื่อลูกชายเสียงสั่นก่อนหันมาบอกว่าจงแดลืมตาขึ้นมา อี้ชิงบอกว่าเป็นเรื่องปรกติที่ผู้ป่วยสามารถลืมตา กรอกตาไปมาหรือขยับมือขยับแขนเอง แต่ความจริงแล้วไม่ได้เกิดเพราะการสั่งการของสมอง
ดวงตาเรียวรีกรอกมองไปทางซ้ายและทางขวาหลายรอบ ก่อนจะมาหยุดที่ผู้หญิงซึ่งยืนอยู่ข้างเตียง แววตาไร้ความหมายจ้องมองมาตรงๆนั้นทำให้แม่ของจงแดร้องไห้โฮ เธอโผเข้ากอดลูกชายเอาไว้แน่นโดยที่จงแดไม่ได้โต้ตอบใดๆทั้งสิ้น อี้ชิงและจื่อเทามองภาพตรงหน้าทั้งตื้นตันและสงสารจับใจ
ได้แต่หวังว่าปาฏิหาริย์จะมีอีกครั้ง...
คิมจงแดเป็นเด็กดี อย่างน้อยพระเจ้าก็ควรจะเห็นใจเด็กคนนี้และครอบครัว...

คนขาย

อี้ชิงและจื่อเทานำของสัมภาระอันน้อยนิดที่ติดตัวมาเก็บไว้ในห้องที่แม่ของจงแดเตรียมเอาไว้ ทั้งห้องเป็นสีฟ้า แม่ของจงแดบอกว่ามันถูกทาสีฟ้าเอาไว้อยู่แล้ว เขาจึงเลือกห้องนี้ให้เป็นห้องของจงแด ข้าวของเครื่องนอนมีชุดเดียวพอสำหรับแค่ลูกชายของเธอใช้งาน งานนี้เลยต้องมีคนหนึ่งนอนพื้นซึ่งอีชี้ก็ขันอาสาเอง
จื่อเทาออกไปเดินเล่นรอบบ้าน ส่วนแม่จงแดเมื่อได้เวลาเลิกเรียนของจูจินก็ขี่รถออกไปรับลูกสาวโดยฝากให้พวกเขาทั้งสองคนดูจงแดให้ด้วย อี้ชิงนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง ปัดปอยผมที่ลงมาเคลียคลอข้างแก้มซูบตอบออก
“ตอนนี้นายกำลังอยู่บ้านแล้วนะจงแด”เขาบอก แม้จะรู้ดีว่าอีกคนไม่ได้ยินที่พูดก็ตาม อี้ชิงเล่าให้ฟังว่าบ้านเป็นแบบไหน ชิงช้าหน้าบ้านที่แม่เคยบอกจงแดเอาไว้พอมาดูใกล้ๆมันเหมือนกำลังจะพัง เห็นจื่อเทาพูดเอาไว้ว่าจะซ่อมให้จูจินใช้นั่งไปจนโตเป็นสาวได้เลย
“ห้องของนายเป็นสีฟ้า ให้ฉันทายถ้านายรู้ว่าห้องมีแค่สองห้องนายจะยกมันให้จูจินอีกแน่ๆ”เพราะจงแดรักน้องมาก เด็กนี่จะต้องยอมนอนที่โถงเพื่อให้แม่และจูจินได้นอนในห้อง เขาบอกจงแดอีกว่าหลังบ้านมีแปลงผักสวนครัวเล็กน้อยด้วย แม่ของจงแดนั้นนิสัยไม่ต่างจากลูกมาก ประหยัดอะไรได้ก็ประหยัดไปหมด แม้แต่ผักสวนครัวก็ปลูกเอาไว้กินเอง
เสียงรถมอเตอร์ไซค์วิ่งมาจอดที่หน้าบ้านก่อนที่ใครสักคนจะวิ่งเสียงดังเข้ามา แม่ของจงแดตะโกนไม่ให้จูจินวิ่งเพราะกลัวจะหกล้มอีกแต่เด็กหญิงก็ไม่ฟัง คิมจูจินเปิดประตูบ้านเข้ามาก่อนจะโผเข้าหาเตียงที่พี่ชายกำลังนอนอยู่
“พี่จงแดขา”เสียงเล็กๆเอ่ยเรียก มือน้อยๆจับที่แขนของพี่แล้วเขย่า ปากก็พร่ำบอกว่าให้พี่จงแดตื่นขึ้นมาคุยด้วย แม่ของเด็กหญิงเข้ามาอุ้มจูจินออกห่างเตียงเอ็ดเบาๆว่าพี่จงแดกำลังป่วย จูจินอย่ากวนพี่ เท่านั้นเด็กหญิงก็ตาโตถามว่าจงแดเป็นอะไร
“พี่จงแดเมื่อไหร่จะหายคะ? จูจินอยากหอมแก้มพี่จงแด จูจินหอมแก้มพี่จงแดได้ไหมคะ?”เสียงใสถามซื่อ คนเป็นแม่ยิ้มฝืดๆบอกว่ายังหอมไม่ได้เพราะพี่จงแดป่วย ถ้าพี่จงแดหายแม่จะให้จูจินหอมแก้มพี่ชายเป็นคนแรก
“เย่! ตอนจูจินป่วยแค่สามวันก็หายแล้ว อีกสามวันนะคะ จูจินจะหอมแก้มพี่จงแดได้ สัญญานะคะแม่”เด็กน้อยยื่นนิ้วก้อยมาให้แม่อย่างที่ชอบทำตอนสัญญาอะไรกัน นิ้วเรียวยาวของแม่เกี่ยวกับนิ้วเล็กๆของลูกบอกว่าสัญญา
เป็นภาพที่แม้จะน่าเศร้าแต่มันก็น่าประทับใจเช่นกัน ถ้าหากจงแดรับรู้ได้ก็คงดี เด็กนั่นคงรู้ว่ามีหลายคนที่กำลังรอให้คนตัวเล็กหายดีอยู่

คิมจูจินเป็นเด็กฉลาดอย่างที่แม่ของเธอคุยเอาไว้จริงๆ เขาถามว่ายัยตัวเล็กมีการบ้านไหมเธอก็ตอบฉะฉานว่ามีแล้วหยิบขึ้นมาทำ วิชาเลขเสร็จก็ต่อด้วยภาษาอังกฤษ ดูท่าทางเด็กหญิงจูจินจะชอบเรียนภาษาเป็นพิเศษแต่คงรองจากบัลเล่ต์ที่ชอบมากที่สุด แม่ของจงแดทำอาหารเกาหลีให้ได้ลองกินกัน จื่อเทาฟังเกาหลีไม่ออกก็รู้ว่ามันคือแกงเต้าเจี้ยวที่ตัวเองไม่ชอบก็ตักกินเต็มที่แถมชมว่าอร่อยอีกด้วย
อาหารของจงแดเป็นอาหารเหลว แม่ของเด็กนั่นไม่ลืมที่จะห่วงลูกชาย คอยเดินไปดูว่ามีอาหารอุดตันสายยางหรือไม่เพราะกลัวว่าจะปั่นไม่ละเอียดพอที่จะผ่านสายยางได้ พอเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยจึงกลับมานั่งกินข้าวของตัวเอง
“เหนื่อยหน่อยนะครับหลังจากนี้”เขาพูดขึ้น เธอต้องไปทำงานอีกทั้งยังต้องดูแลจงแด ช่วงระหว่างวันก็ต้องกลับบ้านมาเพื่อให้อาหารและพลิกตัวลูกชายไม่ให้เกิดแผลกดทับและคอยดูหากมีเสมหะเกิดขึ้นเพราะจงแดไม่สามารถกำจัดเสมหะเองได้ ถ้าปล่อยไว้อาจเข้าไปในระบบทางเดินหายใจทำให้ปอดติดเชื้ออีกครั้ง
“ไม่หรอกค่ะ ถ้าเป็นคุณ คุณก็จะทำแบบนี้เหมือนกัน”เธอพูด พอตักข้าวกินได้ไม่กี่คำจูจินก็บ่นง่วงนอนเสียแล้ว คนเป็นแม่จึงต้องพาเด็กหญิงไปแปรงฟันเพื่อเข้านอน หายไปนานหลายนาทีกว่าจะกลับมา สีหน้าของเธอดูอิดโรยจนอี้ชิงสงสัยว่าเอาเข้าจริงเธอจะไหวหรือที่ต้องมาดูแลทั้งจงแดและจูจินไหนจะต้องไปทำงานอีก
“ผมลืมให้คุณน้า อันนี้สมุดบัญชีของจงแดครับ”อี้ชิงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้ให้สิ่งของสำคัญที่สุดกับแม่ของจงแด สมุดบัญชีอยู่ในกระเป๋าของเขา เขาหยิบมายื่นให้เธอแล้วบอกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่จำแดทำทุกอย่างเพื่อได้มา เด็กนั่นคิดอยากจะซื้อบ้านให้แม่กับน้องอยู่กันอย่างสบายจึงเก็บหอมรอมรอบประหยัดกินประหยัดใช้
เธอดูจำนวนตัวเลขแถวสุดท้ายในสมุดบัญชีเงินฝากแล้วพับสมุดเก็บเหมือนเดิม บอกว่าถึงเงินจะมากมายขนาดไหนเธอก็ไม่สามารถใช้ได้เพราะเป็นบัญชีธนาคารของจีน อีกทั้งวันเป็นเงินที่จงแดเหนื่อยมาตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น เธอจะรอให้จงแดเป็นคนใช้เงินก้อนนี้ด้วยตัวเอง
เมื่อกินข้าวเสร็จ จื่อเทาก็ขอเข้าไปนอนก่อน ส่วนแม่ของจงแดนั้นเธอก็ขอตัวไปอาบน้ำนอนเช่นกันเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นไปส่งจูจินที่โรงเรียนตั้งแต่เช้า อี้ชิงยังไม่ชินที่จะนอนเร็วเพราะเขานอนดึกจนเป็นนิสัยไปแล้ว ชายหนุ่มเปิดทีวีเครื่องเล็กที่ตั้งอยู่ในโถงกว้าง หรี่เสียงลงแล้วมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงของจงแด รายการโทรทัศน์เป็นภาษาเกาหลีพูดเร็วๆจนเขาฟังไม่ทัน
“ตื่นมาแปลทีสิจงแด”เขาเย้าคนที่นอนนิ่งหลับตาสนิท ก่อนจะถอนหายใจออกมาเพราะสิ่งที่ได้รับกลับมามันมีแค่ความเงียบเท่านั้น
โทรทัศน์ที่เปิดไม่ได้น่าดูเพราะเขาฟังไม่ทันและไม่เข้าใจ อี้ชิงตัดสินใจปิดมันลงแล้วไปอาบน้ำนอนบ้าง ก่อนจะปิดไฟเขาดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างของจงแดจนถึงหน้าอก ตรวจเช็คว่าอีกคนนอนในท่าสบายแล้วถึงวางใจ

คนขาย

บรรยากาศช่วงเช้าของที่เกาหลีค่อนข้างแตกต่างกับที่จีน โดยเฉพาะเรื่องความวุ่นวาย ที่เกาหลีดูมีระบบระเบียบเวลา เช่นคนทำงานจะออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ก่อนพวกนักเรียนจะได้ไม่เกิดการแย่งใช้รถสาธารณะกันเกิดขึ้น คนส่วนมากนิยมการเดินมากกว่าการใช้รถมอเตอร์ไซค์ ถ้าหากบ้านไหนมีรถก็เป็นรถยนต์ไปเลย ยกเว้นบ้านที่ไม่ได้มีเงินพอซื้อรถยนต์หรือไม่สะดวกใช้รถยนต์ก็จะใช้มอเตอร์ไซค์แทน
แม่ของจงแดไปส่งลูกสาวของเธอไปโรงเรียนแต่เช้าแล้วจะเลยไปทำงานที่บ้านนายญี่ปุ่นเลย อี้ชิงบอกว่าเธอไม่ต้องกลับมาดูแลจงแดก็ได้ ทางนี้เขาจะช่วยดูแลเอง เพราะวันนี้คงยังไม่ได้ไปเที่ยวกันที่ไหนเนื่องจากจื่อเทาต้องช่วยซ่อมชิงช้าของจูจินให้เสร็จก่อน
ตลอดทั้งวันอี้ชิงคอยดูแลจงแด พลิกตัวทุกๆสองถึงสามชั่วโมง คอยระวังเรื่องเสมหะต่างๆ มีบ้างที่จงแดขยับแขนไปมาหรือลืมตาขึ้นมองนานๆแล้วก็หลับไปอีกครั้ง การขับถ่ายของคนป่วยก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องดูแลเพราะจงแดไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หมอแนะนำให้ใส่แพมเพิร์สเอาไว้ก็ช่วยได้มาก ยกเว้นเมื่ออีกคนถ่ายหนักก็ต้องทำความสะอาดครั้งใหญ่เท่านั้น
“รู้ไหมจงแด นายกำลังเป็นภาระให้แม่ของนายนะ”อี้ชิงพูด เขารู้ว่าจงแดไม่ชอบที่จะเป็นภาระใคร ในใจหวังลึกๆให้อย่างน้อยจงแดจะได้ยินบ้างแม้มันจะเบาราวเสียงกระซิบก็ตามที
เด็กหญิงจูจินและแม่กลับมาตอนช่วงเย็น จูจินเมื่อเห็นว่าชิงช้าของเธอถูกซ่อมแซมเรียบร้อยก็ยิ้มกว้างให้จื่อเทา ถามว่าพี่ชายเป็นคนซ่อมมันให้ใช่ไหม จื่อเทาไม่เข้าใจภาษาเกาหลีก็หน้าเหวอตอบไม่ถูกไป แต่พอเด็กหญิงขึ้นนั่งเพื่อนตัวสูงของอี้ชิงก็แกว่งชิงช้าให้เธออย่างรู้หน้าที่
ชิงช้าถูกประดับตกแต่งด้วยเถาวัลย์ดอกไม้ปลอมเหมือนชิงช้าของเจ้าหญิงในเทพนิยาย จูจินที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนยังอยู่ในชุดบัลเล่ต์คาบสุดท้ายนั่งยิ้มกว้างหัวเราะอย่างมีความสุขบนชิงช้าอันนั้นโดยมีจื่อเทาที่เหมือนองครักษ์คอยแกว่งชิงช้าให้เธอ แม่ของจงแดที่เดินตามเข้ามายิ้มกับภาพตรงหน้า เธอดีใจที่เห็นลูกสาวมีความสุข จูจินพอเห็นแม่เดินเข้ามาก็กระโดดผลุงลงจากชิงช้าจนจื่อเทาจับไว้ไม่ทัน ดีไม่ล้มหัวร้างข้างแตกไปเสียก่อน เธอเข้ามารับกระเป๋าจากแม่เข้าไปเก็บอย่างรู้หน้าที่ จากนั้นจึงวิ่งตึกๆออกมาจากห้อง พอผ่านเตียงของจงแดก็หยุดแล้ววิ่งเข้าไปหา
“จูจินกลับมาแล้วค่ะพี่จงแด พี่จงแดยังไม่ตื่นเหรอคะ?”เสียงเล็กถามแล้วเอียงคอสงสัย แม่ของจงแดเดินเข้าไปหาลูกสาวเธอแล้วบอกว่าพี่จงแดป่วยก็ต้องนอนเยอะๆสิถึงจะหายไวๆ เท่านั้นเด็กหญิงก็ร้องอ๋อ บอกว่าไม่กวนพี่จงแดดีกว่า พี่จงแดจะได้หายไวๆ คิมจูจินวิ่งไปที่ชิงช้าอีกครั้งแล้วบอกให้จื่อเทาแกว่งให้ตนอีก จื่อเทาแม้ฟังไม่ออกก็พอเดาความได้ ชายหนุ่มยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำให้ คนที่ดูโทรมตลอดหลายวันที่ผ่านมามีรอยยิ้มบนใบหน้าได้อีกครั้งเพราะเด็กหญิงตัวน้อยๆเพียงคนเดียว
อี้ชิงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงของจงแดอีกครั้ง ตอนนี้จงแดกำลังลืมตาอยู่ สายตาแน่นิ่งมองตรงไปที่เพดานของบ้านอย่างเดียว เขาชี้ให้จงแดดูภาพจื่อเทากับจูจินหัวเราะร่วน แม่ของจงแดที่เพิ่งแช่ผักในครัวเสร็จก็มาร่วมวงเล่นชิงช้าใหม่ด้วยอีกคน เสียงจูจินพูดว่าถ้าพี่ชายหายดีแล้วจะแบ่งชิงช้าให้จงแดนั่งด้วยครึ่งหนึ่ง
“พี่ชายคะมาเล่นด้วยกันกับจูจินสิคะ”เด็กหญิงกวักมือเรียกอี้ชิง เขาเลยจำต้องลุกขึ้นเดินไปหาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผู้ใหญ่สามคนรุมแกว่งชิงช้าให้เด็กตัวเล็กๆเป็นภาพที่หากใครเห็นคงยิ้มตามไปด้วย

ดวงตาซึ่งกำลังมองเพดานนิ่งค่อยๆหันไปมองบริเวณหน้าบ้าน ภาพทั้งสี่คนหัวเราะอย่างมีความสุขสะท้อนในม่านตาของจงแดก่อนมันจะค่อยๆดับแสงลงเพราะเปลือกตาบางนั้นปิดลงอย่างช้าๆ



END.

#ขายตัวออลเฉิน


แมลงจี่




รักค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น