วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

[SF] Moonlight (BaekDo) #2*end

ข่าวการคบกันของนักร้องหนุ่ม พยอนแบคฮยอนกับอีซึงอาดังกระฉ่อนไปทั่ว สำนักข่าวต่างๆเริ่มประโคมขาวทั้งเสียหายและในทางที่ดี แต่ถึงแม้ข่าวจะออกมาขนาดนี้แล้ว แต่แบคฮยอนก็ยังเก็บตัวเงียบไม่ออกมาพูดอะไรทั้งสิ้น

คยองซูมองข้อความในดีเอ็มของทวิตเตอร์ซึ่งบ้านแฟนเทคเพื่อนบ้านอย่างลู่หานมิราเคิลส่งมาปลอบใจ และอีกหลายข้อความจากแฟนเทคเจ้าอื่นที่พอจะรู้จักกันอยู่บ้าน ทุกคนเป็นเด็กสาวรุ่นมัธยมปลายทั้งสิ้น

“พี่ชายไม่เป็นไรนะ อย่าเรสโหมดเหมือนเท็นฮยอนนะคะ”

ข้อความข้างต้นมาจากมินอา เจ้าของเครดิตสตาร์ไค เรสโหมดเหรอ? พัก? ควรพักหรือเปล่า?? มองรอยยิ้มของพยอนแบคฮยอน รูปขนาดใหญ่ที่เขานำมาอัดแล้วใส่กรอบไว้บนหัวนอน ถามกับรูปภาพมันคงไม่ได้ให้คำตอบแก่เขาได้ใชหรือเปล่า?

ถามว่ายังรักพยอนแบคฮยอนไหม คยองซูบอกได้เลยว่ามาก เขายังหลงใหลทุกอย่างที่เป็นพยอนแบคฮย นแม้แต่ตอนนี้...เพลงมูนไลท์ เพลงที่ทำให้เขาเริ่มรักพยอนแบคฮยอนก็ยังวนเวียนในหัวผ่านสายเฮดโฟนขนาดเล็ก คยองซูล้มตัวลงบนเตียงนอน เงยหน้ามองรูปขนาดใหญ่ที่อยู่บนหัว มือเล็กเอื้อมขึ้นพยายามจะแตะรูปตรงหน้า


ทั้งที่เหมือนจะเอื้อมถึง...แต่ไม่ถึงเลย...

พยอนแบคฮยอนทำไมถึงอยู่สูงขนาดนี้นะ...


Rrr

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ตั้งแต่เกิดเรื่องโทรศัพท์ของคยองซูไม่ได้ว่างเลย โบมีโทรมาเรื่อยๆ อีกทั้งยังมีแฟนเทคอื่นที่ติดต่อกันบ่อยๆด้วย บางคนโทรมาปรึกษาเขาว่าจะทำยังไงดี เด็กสาวพวกนั้นยังเด็กเกินกว่าจะยอมรับและทำใจกับเรื่องนี้ได้ แต่ละคน...เจ็บ เจ็บกับการกระทำของแบคฮยอนอย่างถึงที่สุด

“หนูยังไม่อนุญาตเลย พี่คะ พี่แบคฮยอนเขาผิดสัญญากับหนูทำไม”ทันทีที่รับโทรศัพท์มินจองอาคำแรกที่เธอพูดคือประโยคดังว่า เสียงร้องไห้ของเด็กสาวราวปานจะขาดใจ ยิ่งผสมกับเพลงมูนไลท์ที่ดังคลอไปด้วยความโศกเศร้ายิ่งทวีคูณ

“จองอาอ่า...ใจเย็นๆนะ”คยองซูพูดได้แค่นั้น แต่ละคนที่โทรมาหรือดีเอ็มมา ในฐานะที่เป็นพี่ชายเขาก็ปลอบได้แต่คำแบบนี้เท่านั้น เพราะเขาเองก็ยังเจ็บปวดอยู่เช่นกัน

“หนูอยากปิดเวปมากเลยค่ะพี่ ตอนนี้พี่ๆคนอื่นปิดบ้านกันไปหมดแล้ว หนูเสียใจมากจริงๆนะ หนูหยุดร้องไห้ไม่ได้ด้วยซ้ำ”เด็กสาวระบายออกมาจนหมด คยองซูบอกว่าอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเร็วไป อย่าเพิ่งปิดเวปเลย จองอาเป็นคนถ่ายรูปสวย มีแฟนคลับตามบ้านของเธอมากกว่าแนบิซซารังด้วยซ้ำ

“เห็นแก่คนที่ยังรอรูปของเธอนะจองอา ช่วงนี้ก็อย่าเข้าทวิตเตอร์ ไม่ต้องดูข่าว...เดี๋ยวเราก็จะดีขึ้น พี่รู้ว่าพวกเราจะต้องผ่านมันไปให้ได้”

ก็มีแต่คำปลอบเท่านั้นสำหรับคยองซู...

ใช่...มันต้องดีขึ้น

“วันพรุ่งนี้พี่แบคมีตารางเป็นเอ็มซี...พี่จะไปไหม?”จองอาถามพลางกลั้นสะอื้น คยองซูหลับตาลงสูดหายใจเข้าลึกๆ เรื่องนี้เขาเพิ่งคุยกับโบมีเหมือนกัน และคนอื่นๆด้วย คนอื่นทั้งที่ปิดเวปไปแล้วและยังไม่ปิดบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าจะไม่มีทางไปหาแบคฮยอนเด็ดขาด เพราะพวกเธอยังทำใจไม่ได้

...ถ้ามีใครไปเลย...พยอนแบคฮยอนจะรู้สึกยังไง

จะสำนึกได้หรือเปล่ากับการทรยศแฟนคลับแบบนี้ มันส่งผลอย่างไรบ้าง ความรักที่มีให้ถูกบั่นทอนลง จากร้อยเหลือไม่ถึงครึ่งในตอนนี้

พยอนแบคฮยอน...จะคิดได้ แล้วออกมาทำอะไรสักอย่างบ้างไหม? ทำสักอย่าง..ขอโทษก็ได้ แม้มันจะไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นสักนิด...

คยองซูอยากทิ้งไป...ไม่ไปหา ไม่ตาม...แต่เพียงคิด ว่าหากเมื่อพยอนแบคฮยอนสำนึกได้ แล้วในตอนนั้น ที่แบคฮยอนไม่เหลือใครข้างกาย ทุกคนไม่ไปตาม ไม่สนใจ...แบคฮยอนจะเป็นยังไง ผู้ชายคนนั้น...จะเสียใจขนาดไหน

จะร้องไห้หรือเปล่า แค่เพียงคิดว่าน้ำตาจะหลจากดวงตาคู่นั้นที่เขาหลงใหลก็แทบไม่อยากจะทนมองเห็น...

“แล้วจองอาจะไปไหม พี่ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรเลย”คยองซูบอกเด็กสาว ก็จริง เขายังไม่ได้ตัดสินใจ จองอาตอบกลับมาว่าอยากจะไม่ไป อยากจะปิดเวปไป แต่เธอเชื่อพี่ชายเธอจะยังไม่ปิดเวป อีกอย่างคือเธอรักพยอนแบคฮยอน...จนไม่อยากจะทำร้ายผู้ชายที่เธอรัก แม้ผู้ชายคนนั้นจะทำร้ายเธอได้อย่างเลือดเย็นก็ตามที

ใช่...ไม่มีใครอยากทำร้ายคนที่เรารักหรอก...

พยอนแบคฮยอนก็หนึ่งในนั้น คยองซูเชื่อ แต่หากแบคฮยอนให้สัญญาอะไรแล้วทำไม่ได้ ก็ไม่ควรจะพูดมันออกมา ไหนกันที่บอกจะรอให้แฟนคลับอนุญาตก่อน แล้วแอบไปมีความสัมพันธ์ลับหลังแฟนคลับแบบนั้น...เป็นใครก็ต้องเจ็บ

“จองอาอยากไปหรือเปล่าล่ะ พี่ไปเป็นเพื่อนเราได้นะ ยัยโบมีด้วย...จองอายังรักแบคฮยอนอยู่ใช่ไหมล่ะ”ถามเด็กสาวออกไป เสียงสะอื้นเบาๆตอบกลับมางืมงำ คยองยกพยายามยกมุมปากน้อยในรอบหลายชั่วโมงตั้งแต่รู้ข่าว ดวงตากลมโตเปิดขึ้นแล้วมองคนที่อยู่ในรูปถ่ายบนหัวนอนอีกครั้ง

ไม่มีใครอยากทำร้ายคนที่เรารัก...

แล้วคยองซูควรจะทำยังไง? กับคนที่ไม่เคยรู้ว่าเขาเป็นใคร แม้เขาจะหายไปแต่แบคฮยอนก็คงไม่มีทางรู้...และคงไม่ได้สนใจ

เปลือกตาบางหลับลงอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาที่หางตา...

แต่ทำไม่ได้...เพราะไม่มีใครอยากทำร้ายคนที่ตนเองรัก...

คยองซูรู้แล้วว่าเขาหายไปไม่ได้...

แม้จะเป็นเพียงบุคคลที่ถูกเลนส์ของกล้องบดบังเท่านั้น แต่คยองซูรัก...รักพยอนแบคฮยอนเหลือเกิน ความรัก...คือการให้หรือเปล่า

รักคืออะไร การเคียงข้างคนที่เรารักหรือเปล่า...คยองซูทำร้ายพยอนแบคฮยอนไม่ได้


ตัดสินใจได้แล้ว...




“ถ้ายังรัก...เรามายืนเคียงข้างแบคฮยอนต่อไปไหม? พี่รู้ว่ามันอาจจะยาก พี่ก็เจ็บ เจ็บเหลือเกิน แต่ตอนนี้...พยอนแบคฮยอนแทบจะไม่เหลือใคร อย่างน้อย...เขาก็ควรจะเหลือเรา”

ใช่...ควรจะมีใครที่ยังอยู่เคียงข้างพยอนแบคฮยอน โอบประคองผู้ชายคนนั้นที่กำลังถูกบ่อโคลนดูดให้จมลึกลงไป ช่วยประคองเอาไว้ รอเวลาที่หน่วยกูภัยจะมาดึงพยอนแบคฮยอนขึ้นไป แฟนคลับอย่างเรามีหน้าที่แบบนี้...


แม้เมื่อพยอนแบคฮยอนถูกช่วยขึ้นไปได้อย่างปลอดภัยแล้วโคลนจะดูดเราจนจมหายไป...ก็ตามที




*-*-*-*-*-*-*



บาดแผลที่ถูกแก้วกระเบื้องบาดนั้นถูกทำแผลอย่างดีด้วยฝีมือของจองอาที่แวะมาหาเขาที่บ้านพร้อมโบมีก่อนจะเดินทางไปสถานที่อัดรายการเพลงพร้อมกัน จองอาบ่นเขาใหญ่ว่าไม่ระวังตัว คยองซูได้แต่ส่งยิ้มแห้งกลับไปเท่านั้น
กว่าจะเดินทางมาถึงสถานที่อัดรายการก็เกือบจะไม่ทัน แต่เป็นเรื่องที่ไม่ได้แย่เพราะแฟนคัลบที่เคยมาออกันแน่นขนัดเพราะแบคฮยอนนั้นกลับบางตาไปถนัด มีหลายคนที่ยืนร้องไห้ในขณะจ้องมองรูปของแบคฮยอนที่ยืนเคียงข้างเอ้มซีคนอื่นๆที่ถ้าบริษัท เด็กสาวคนหนึ่งลูบที่ใบหน้าของแบคฮยอนเบาๆและปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมา

“ไปลงทะเบียนเข้าชมเถอะค่ะ”โบมีบอกแล้วดึงเขาไปต่อแถวที่เคยมีคิวยาวเหยียดแต่ตอนนี้กลับมีเพียงไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ คยองซูรับบัตรคล้องคอมาถือแล้วเดินเข้าบริษัทพร้อมกับสองเด็กสาว ที่นั่งของเวทีรายการนี้อยู่ใกล้กับตัวเวทีมาก แฟนคลับจากวงอื่นๆได้ที่นั่งเป็นโซนๆอยู่ด้านบน ส่วนคยองซู โบมีและจองอาได้นั่งใกล้ๆกับเวที ดีเหมือนกันเพราะจะได้ไม่ต้องใช้เลนส์ซูมไกลมากๆ มันหนักอย่าบอกใคร

นั่งรอดูการซ้อมของไอดอลหลายๆคนไปเรื่อยๆ ก่อนที่แสงของไฟจะดับลง และสัญญาณการเริ่มรายการจึงเริ่มขึ้น สปอร์ตไลท์สาดส่องไปทางแท่นพิธีกร ผู้ชายสองคนและหญิงสาวอีกหนึ่งเดินจากมาจากม่านก่อนจะส่งยิ้มน้อยๆให้กับกล้อง

...ฝืน...

คยองซูเม้มปากแน่นเมื่อมองดูรอยยิ้มฝืนๆของแบคฮยอน ขอบตานั้นร้อนผ่าวเมื่อได้มองหน้าของแบคฮยอนอีกครั้ง ก่อนที่จะต้องเสียน้ำตา มือเล็กจึงยกกล้องตัวโปรดขึ้นมาบดบังใบหน้าเอาไว้แทน นิ้วของเขาสั่นระริกค้างไว้ที่ชัตเตอร์ มองแบคฮยอนทำหน้าที่เอ็มซีผ่านเลนส์ของกล้องที่ถืออยู่ในมือแทน

เหมือนบรรยากาศนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แฟนคลับของแบคฮยอนหลายคนเริ่มหลังน้ำตาออกมาเงียบๆเหมือนกัน คยองซูลดกล้องลงเมื่อแบคฮยอนกลับเข้าม่านไปหลังจากประกาศรายชื่อวงที่จะขึ้นแสดง มือเร็วยกขึ้นเช็ดที่ดวงตาน้อยๆ ไล่น้ำตาที่เกือบจะไหลให้กลับไป หันมองยัยโบมีแล้วต้องหลุดหัวเราะเมื่อยัยนั่นกำลังกลั้นน้ำตาอย่างเต็มที่ ดวงตากลมโตนั้นแดงไปหมด จมูกก็แดงเหมือนกวางเรนเดียร์ คยองซูดึงน้องมาซบที่บ่าแล้วลูบหัวเด็กสาวเบาๆ

การแสดงวนเวียนไปเรื่อยๆจนจบช่วงแรก ในที่สุดเอ้มซีก็ต้องออกมาอีกครั้ง พยอนแบคฮยอนออกมาพร้อมรอยยิ้มฝืดเฝือเหมือนเดิม คยองซูไม่สามารถจะเก็บน้ำตาเอาไว้ได้อีกเลย...

“แบคฮยอน แบคฮยอน แบคฮยอน...”เสียงของเขาเองที่พึมพำชื่อของนักร้องหนึ่งเป็นจังหวะ คล้ายอังกอร์ ก่อนที่เสียงของเขาจะดังมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว รู้เพียงแค่ไม่อยากจะปล่อยให้ปากของตัวเองต้องปล่อยเสียงร้องออกมา

“แบคฮยอน แบคฮยอน แบคฮยอน แบคฮยอน...”จากเสียงของคยองซู แฟนคลับที่ยังรักและพร้อมจะอยู่เคียงข้างแบคฮยอนในวันนี้ก็ตะโกนชื่อชายหนุ่มพร้อมกันกับคยองซู เสียงเรียกชื่อพยอนแบคฮยอนดังก้องไปทั่ว คยองซูยกกล้องขึ้นทำเป็นถ่ายรูปทั้งที่ใช้มันแค่บดบังน้ำตาที่กำลังไหลอย่างมากมาย เสียงเรียกชื่อพยอนแบคฮยอนยิงทำให้เขาต้องเสียน้ำตามากขึ้น


มือที่สั่นไหวกดชัตเตอร์ลงอย่างยากลำบาก เอ็มซีทั้งสามชะงักการพูดไปเล็กน้อยเพราะเสียงเรียกชื่อแบคฮยอนดังไปทั่ว จนสตาฟต้องบอกให้หยุด ถ้าไม่หยุดจะไล่ออกไป เสียงเรียกชื่อของแบคฮยอนถึงค่อยๆเบาลง คยองซูจับกล้องด้วยมือที่ชื้นเหงื่อ

เห็นแบคฮยอนยิ้มมากขึ้นเล็กน้อย...เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเอง...


“แบคฮยอนนา!!”คยองซูตะโกนออกไปเสียงดังทั้งที่ยังไม่ลดกล้องลง พอดีกับเรียกตะโกนผสานเรียกชื่อของแบคฮยอนหลุดลง เสียงที่ดังของเขาทำให้แบคฮยอนสะดุ้งและหันมามอง

ในเลนส์ของกล้องที่ซูมเข้าไปที่ใบหน้าองแบคฮยอนเห็น...ว่าแบคฮยอนกำลังมองมา โบมีกับจองอายังคงร้องไห้อยู่ใกล้ๆกับคยองซู แต่ตอนนี้ คยองซูกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้วนับจากที่ตะโกนชื่อของแบคฮยอนออกไป และแบคฮยอนนั้นมองมาที่เขา...


ใบหน้าของพยอนแบคฮยอนนั้นจ้องมองมา ที่มุมปากของเขาปรากฏยิ้มน้อยๆที่ดูไม่ฝืนสักนิด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยหยาดน้ำที่คลอหน่วย


ริมฝีปากที่เคยเอื้อนเอ่ยขับร้องเพลงที่คยองซูชอบขยับขึ้นลงเป็นคำพูด


...ขอบใจนะ...





*-*-*-*-*-*-*-*-*-*


รูปของวันนี้ถูกแต่งเรียบร้อย โบมีกับจองอาร้องไห้ตาบวมจนหลับไปบนเตียงของคยองซู...คยองซูไม่ค่อยโพสต์รูปในทวิตเตอร์แอคแฟนเทคเองเท่าไหร่ ส่วนมากจะเป็นยัยโบมีที่บอกว่าจะจัดการโปรโมตเองนั่นล่ะ แต่เด็กสาวหลับไปแล้วคยองซูก็ไม่อยากจะปลุก


ไม่รู้จะอธิบายภาพว่าอะไร...ภาพของเขาวันนี้ได้ไม่กี่ภาพเท่านั้น ส่วนจองอาที่ไปด้วยกันนั้นไม่ได้สักภาพเพราะเอาแต่ร้องไห้ คยองซูเลือกภาพที่แบคฮยอนเหมือนจะเหม่อลอยคิดอะไรระหว่างฟังชาร์ตเพลงขึ้นเป็นคัฟเวอร์ของเวปแทนอันเก่า ส่วนรูปในทวิตเตอร์ที่จะลง...


คยองซูเลือกรูปนี้...


รูปดวงตา...ที่มองตรงมาที่กล้อง... เพียงดวงตาของพยอนแบคฮยอนเท่านั้น ดวงตาคู่งดงามที่แสดงอารมณ์ตามเพลงได้อย่างไม่มีที่ติ ดวงตาที่คยองซูหลงใหล

คำอธิบายของภาพสำหรับคยองซูที่ไม่ค่อยได้โพสต์ทวิตเอง...คงมีแต่คำๆนี้


...ขอบใจนะ...แบคฮยอนสู้ๆ...




สู้ๆนะแบคฮยอน...


คำถามที่คยองซูเคยถามตัวเองว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้เพื่ออะไร?

การที่ทุ่มเทเวลาให้กับคนที่ไม่เคยรู้ว่าเขามีตัวตนนั้นคุ้มหรือเปล่า?

คยองซูตอบตัวเองได้แล้ว...ว่ามันคุ้มแล้ว...


เพราะอะไร? ก็ตอบได้...ว่าเพราะรัก


เราไม่มีทางทำร้ายคนที่เรารัก...


การเป็นแฟนคลับ ยืนอยู่ในจุดนี้...หน้าที่ของเรา...คือเคียงข้างศิลปินไปจนถึงที่สุด เป็นคนที่ประคองยามล้มและผลักดันให้เดินไปต่อ

เราเจ็บได้ เสียใจก็ไม่ผิด...แต่ถ้าเรารักเขาจริงๆ...



เราต้องพร้อมที่จะยืนเคียงข้างกับเขาต่อไป...

สู้ๆนะ...พยอนแบคฮยอน...







*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*


END…




แบคฮยอนนา...





วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

[SF] Moonlight (BaekDo) #1

โดคยองซูถามตัวเองว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้เพื่ออะไร?

การที่เขาเฝ้าทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับใครสักคนที่ไม่เคยมองเห็นตัวของเขาในสายตานั้น...คุ้มหรือเปล่า?

รูปถ่ายมากมายในจอคอมพิวเตอร์ถูกฉายสลับวนเวียน รอยยิ้มสวยงามของคนในรูปนั้นเคยทำให้คยองซูยิ้มตามอย่างง่ายดาย แต่หากวันนี้ที่ต้องมองมันกลับทำให้มุมปากนั้นแข็งทื่อ แม้แต่จะแค่นยิ้มยังยากลำบาก ขอบตานั้นร้อนผ่าว และแล้วก็ทนไม่ไหวต้องทิ้งน้ำตาเม็ดใสนั้นไหลอาบแก้ม

ผู้ชายคนนั้น...พยอนแบคฮยอน...


รูปสัญลักษณ์หมาน้อยน่ารักที่ปรากฏอยู่มุมรูปภาพแสดงถึงตัวแทนของคยองซู แฟนเทคเครดิต “แนบิซ ซารัง” นั้นเป็นชื่อเครดิตของเขาเอง การทำงานหลังเลนส์ ได้เฝ้ามองคนที่คยองซูรักจากที่ไกลๆ ได้เข้าใกล้มาที่สุดเท่าความสามารถในการซูมกล้องนั้นเริ่มขึ้นเมื่อ3ปีก่อน วันที่พยอนแบคฮยอนได้แจ้งเกิดบนเวทีในฐานะนักร้องเสียงเทพเจ้า การแสดงสดของพยอนแบคฮยอนถูกฉายในโทรทัศน์ขณะที่คยองซูกำลังเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย

...แต่เพียงได้ยินเสียงอันไพเราะนั้นก็สามารถทำให้คยองซูหยุดเปลี่ยนช่องได้...

แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดขณะร้องเพลงเนื้อหาบีบรัดหัวใจนั้นตรึงให้คยองซูหยุดสายตาไว้ที่เขา พยอนแบคฮยอนในตอนนั้น...ทำให้โดคยองซูหัวใจเต้นแรง

การเดบิ้วต์ของแบคฮยอนประสบความสำเร็จอย่างมาก ไม่นานก็เปิดตัวแฟนคลับอย่างเป็นทางการ คยองซูจำได้ว่าหัวใจเต้นแรงขนาดไหนตอนลงชื่อสมัครเป็นเมมเบอร์เวปไซต์ออฟฟิเชียล คยองซูเองก็ไม่คิดว่าเขาจะรู้สึกชอบนักร้องผู้ชายถึงขนาดต้องมานั่งสมัครเวปเพื่อเป็นแฟนคลับแบบนี้...ไม่คิด...ว่าจะเริ่มตกหลุมรักเสียงร้องและใบหน้าของพยอนแบคฮยอนมากขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดก็คิดจะไปตามนักร้องหนุ่มถึงสถานที่แสดงสด

วันนั้นหิมะตก พยอนแบคฮยอนเดินลงจากรถคันสีดำด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ทว่าเมื่อเห็นแฟนคลับรออยู่ ใบหน้านั้นกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชียง เขายกยิ้มให้กล้องโทรศัพท์ที่ถูกยกขึ้นถ่าย โบกมือทักทายกับเด็กสาวที่กรี๊ดคอแทบแตกอยู่ตรงนั้น และวูบหนึ่ง...ที่พยอนแบคฮยอนเดินผ่านเข้าตึกไป คยองซูก็ได้สบกับสายตาคู่นั้น ...

สายตาที่ตรึงเขาไว้เมื่อเห็นครั้งแรกในทีวี...

“พี่ชายเป็นแฟนบอยเหรอคะ?”เสียงเล็กน้อยของเด็กสาววัยมัธยมต้นถามเขาขึ้นมา คยองซูมองเด็กสาวส่วนมากที่เฮตะโลไปเกาะประตูประษัทเพื่อมองศิลปินที่ตนคลั่งไคล้หายเข้าห้องพักศิลปินไปแล้วเบือนสายตากลับมามองเด็กสาวตรงหน้าอีกครั้ง
“เธอล่ะไม่ตามพวกนั้นไปเหรอ?”แทนจะตอบคำถาม คยองซูกลับถามเด็กสาวกลับ เธอส่ายหัวแล้วยิ้มๆ บอกว่าตามไปก็เท่านั้น เข้าหาพี่แบคฮยอนไม่ได้เสียหน่อย ซึ่งคยองซูก็เห็นด้วยกับจุดนี้ ยังไงเสียยามหน้าดุที่ยืนจังก้าหน้าประตูก็ไม่มีทางให้แฟนคลับเข้าไปในตึกแน่นอนอยู่แล้ว
“แล้วพี่อ่ะ ยังไม่ตอบคำถามหนูเลย พี่เป็นแฟนบอยเหรอ?”เมื่อเด็กสาวไม่ได้คำตอบที่ตนตั้งถามก็ถามเอาอีกครั้ง คยองซูชั่งใจก่อนจะถามตัวเองว่า...การที่เขาปลื้ม ชอบพยอนแบคฮยอนขนาดตามมาที่นี่เรียกได้ว่าเขาเป็นแฟนบอยของอีกฝ่ายหรือเปล่า ทว่ายังไม่ทันจะตอบออกไปเด็กสาวก็ขัดขึ้นมาเสียแล้ว
“ไม่ต้องละ ไม่ต้อง ขนาดมาตามที่นี่แสดงว่าพี่ชายคงชอบพี่แบคมากอ่ะ นี่หนูเพิ่งเห็นพี่คนแรกเลยนะที่เป็นแฟนบอยแล้วมาตามขนาดนี้”เธอพูดพร้อมขยับก้าวขาเดิน คยองซูไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องขยับขาเดินตามเด็กสาวนั้นไป...
อาจจะเพราะดูเหมือนเธอจะรู้จักพยอนแบคฮยอนดีหรือเปล่า...
“ดูเหมือนเธอจะรู้จักแบคฮยอนดีเลยนี่ ฉันก็แค่ชอบเสียงกับแววตาเวลาเขาร้องเพลงน่ะ...เพลงที่เปิดตัว...เอ่อ มูนไลท์ ส่วนเรื่องอื่นฉันไม่ค่อยรู้เลย...”
“ช่ายยยย หนูน่ะ ค้นข้อมูลพี่แบคจนละเอียดยิบเลยล่ะ พี่ชายคุยกับคนถูกแล้ว...มาๆๆ ไปทานไอศกรีมกันนะ เดี๋ยวหนูจะเล่าเรื่องพี่แบคให้ฟัง”

การพูดคุยกับเด็กสาวที่ชื่อยุนโบมีนั้นกินเวลายาวนานถึง4ชั่วโมงโดยที่คยองซูไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ รู้แต่ว่าเรื่องราวของพยอนแบคฮยอนที่ออกมาจากปากของเด็กสาวนั้น...กำลังซึมซับเข้าไปในหัวของเขาอย่างช้าๆ

พยอนแบคฮยอนเป็นลูกชายคนเดียว บ้านอยู่คยองกิโด กำลังเรียนสาขาการร้องเพลงมหาวิทยาลัยชื่อดัง ชอบกินชานมโกโก้กับพายฟรุตสลัด...


หลังจากคุยกันวันนั้น คยองซูก็ยังติดต่อกับโบมีอยู่เรื่อยๆ เด็กสาวมักจะชวนเขาไปตามดูแบคฮยอนเสมอ จนในที่สุดก็ได้สิทธิ์เข้าไปดูการแสดงสดบนเวทีของพยอนแบคฮยอน ในตอนนั้นคยองซูพกกล้องตัวจิ๋วติดตัวไปด้วย การแสดงสีหน้าและแววตาของแบคฮยอนยังสามารถทำให้เข้าต้องมองมันนิ่งนานได้เสมอ และคิดอยากจะเก็บมันเอาไว้ดูอีกครั้งต่อๆไปด้วย
...การยกกล้องดิจิตอลตัวเล็กขึ้นถ่ายรูปพยอนแบคฮยอนในตอนนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นการเป็นแฟนเทคของคยองซู

จากกล้องดิจิตอลตัวน้อย การได้บันทึกภาพพยอนแบคฮยอนลงในเมมโมรี่การ์ดเริ่มเป็นสิ่งที่คยองซูชอบทำ กล้องราคาแพงระยับตามคำแนะนำของยุนโบมีจึงถูกซื้อมาพร้อมเลนส์ที่ราคาแพงกว่าตัวกล้องเสียด้วยซ้ำ คยองซูจำได้ว่าอดข้าวตั้งหลายอาทิตย์ แต่ระยะซูมที่เข้าไปได้ใกล้จัดจนแทบเห็นรูขุมขนนั้นก็ทำให้พอใจกับการเสียเงินจำนวนไม่น้อยนั้นไปเช่นกัน
ไม่รู้ว่าภาพถ่ายของคยองซูนั้นสวยหรือเปล่า เขาใช้โปรแกรมแต่งรูปไม่ค่อยถนัดนัก แต่ยัยโบมีก็จุ้นจ้านจัดการให้หมด เด็กสาวที่คยองซูสนิทสนมด้วยในระดับหนึ่งแล้วสอนเข้าปรับกล้องและใช้โปรแกรมจนชำนาน และเป็นยัยนั่นอีกเช่นกันที่เปิดเวปไซต์และตั้งชื่อเครดิตให้เสร็จสรรพว่า “แนบิซ ซารัง” ยุนโบมีบอกเพียง
“พี่ชายก็มีหน้าที่แต่งภาพ แปะเครแล้วอัพลงเท่านั้นล่ะ เดี๋ยวหนูโปรโมตพี่เอง”

เวปไซต์แฟนเทคของคยองซูมีคนสมัครสมาชิกมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ ภาพที่เขาไม่รู้ว่าสวยหรือเปล่า คนอื่นนั้นชมเปราะว่ามันงดงาม พยอนแบคฮยอนท่ามกลางแสงสปอร์ตไลท์ที่ส่องลงมาบนเฮดเดอร์เวปแนบิซ ซารังดอทคอมนั้นงดงามที่สุด
...จากนั้นการตามพยอนแบคฮยอนไปในที่ต่างๆพร้อมกล้องราคาเหยียบสองแสนคู่ใจจึงเป็นเหมือนงานประจำของคยองซู ได้เห็นว่ามีคนคอยภาพถ่ายของเขาก็ยิ่งทำให้มีแรงใจในการถ่ายภาพมากขึ้นไปอีก

และบางครั้ง...ที่สายตาของพยอนแบคฮยอนบังเอิญจ้องมองมาที่กล้องของคยองซู...มันทำให้หัวใจของคยองซูเต้นแรง...
คยองซูชอบ...ที่จะมองพยอนแบคฮยอนผ่านเลนส์ของกล้องตัวนี้ แม้ว่าแบคฮยอนอาจจะไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าใบหน้าหลังกล้องตัวใหญ่และเลนส์ที่ปิดได้เกือบทั้งหน้านี้เป็นอย่างไร
...ขอแค่ได้มองจากตรงนี้ก็พอ...

แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...


ผู้ชายคนนั้น...พยอนแบคฮยอน...

พยอนแบคฮยอน นักร้องชื่อดังแอบคบลับๆกับเพื่อนสาวร่วมค่าย
แค่ชื่อพาดหัวข่าวที่ถูกรีทวิตเข้ามาในไทม์ไลน์ของทวิตเตอร์ส่วนตัว...คยองซูก็เผลอทำแก้วโกโก้ในมือหลุดร่วงกระทบพื้นและแตกกระจาย น้ำสีน้ำตาลแก่กระเซ็นไปทั่วพื้นหนำซ้ำฝ่าเท้าบอบบางยังเหยียบเศษแก้วนั้นซ้ำอีกด้วย
เนื้อหาด้านในบอกว่าพยอนแบคฮยอนคบหาดูใจกับอีซึงอา นักแสดงสาวเพื่อนร่วมค่ายมากว่า5เดือน นักข่าวแอบถ่ายทั้งคู่ได้ในขณะที่แบคฮยอนขับรถไปรับเธอที่สนามบินหลังจากกลับมาจากการร่วมงานกับนักแสดงชาวญี่ปุ่นในหนังฟอร์มยักษ์ ชายหนุ่มพาเธอไปยังคอนโด และกลับออกมาพร้อมกันในตอนเช้า...อีกทั้งยังจูบกันดูดดื่มก่อนหายเข้าไปในปอร์เช่สีดำ ซึ่งเป็นรถของแบคฮยอน...

ยังไม่รู้แน่ว่านี่คือเรื่องจริงหรือเปล่า ทว่าหัวใจของคยองซูเหมือนโดนกรีดไม่เป็นชิ้นดี เขาไม่ใช่เกย์...แต่รู้สึกปลื้ม และชอบพยอนแบคฮยอนมาก...มากจนกลายเป็นความหลงใหลในที่สุด
พูดได้เลยว่าแม้จะไม่ได้มีรสนิยมไม้ป่าเดียวกันแต่โดคยองซูก็ “รัก “พยอนแบคฮยอน...

หัวใจคยองซูเจ็บปวด เจ็บกว่าบาดแผลที่บาดลึกที่ฝ่าเท้า โบมีโทรมาหาเข้าและพูดไม่รู้เรื่องเหมือนคนเสียสติ คยองซูเองก็ไม่ต่างกนนักหรอก แต่เสียงนุ่มก็พยายามพูดปลอบเด็กสาวออกไป พูดได้เพียงรอทางค่ายออกมายืนยันก่อนดีกว่า แม้ว่าหลักฐานเป็นรูปแบถ่ายนั้นจะตำตาอยู่ก็ตาม...
และเพียงไม่กี่นาทีต่อมา บาดแผลที่เท้าของคยองซูยังไม่ได้รับการเยียวยา แต่บาดแผลที่ใจของเขากลับยิ่งกว่านั้น มันทวีความเจ็บปวดเมื่อทางค่ายออกมาคอนเฟิร์มแล้วว่า...ทั้งคู่คบหากันจริงๆ

เหมือนโลกถล่มลงมาต่อหน้า แววตาที่เข้าหลงใหล น้ำเสียงที่เขาหลงรัก พยอนแบคฮยอนที่เขาชื่นชม...มีเจ้าของแล้ว
มันไม่แปลกที่ผู้ชายหน้าตาดีอย่างแบคฮยอนจะมีแฟน แต่คยองซู...แค่ทำใจไม่ได้ เขารัก...รักผู้ชายคนนี้...ยอมทุ่มเททุกอย่างให้ ในวันเกิดเขาก็เปิดโดนเทเพื่อซื้อของขวัญให้กับแบคฮยอน ส่งให้ในนามแนบิซ ซารัง...โดยที่แบคฮยอนไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าของของขวัญพวกนั้นคือเขาเอง
เหมือนที่ทำไปมันไม่มีค่า...
ที่สำคัญกว่านั้น...คือพยอนแบคฮยอนทรยศแฟนคลับได้อย่างเลือดเย็น

“ระหว่างแฟนคลับกับแฟนครับจะเลือกอะไรครับ”แบคฮยอนยิ้มให้กับพิธีกรที่ถามคำถาม ดวงตาของเขากราดมองไปยังแฟนคลับที่มาร่วมชมมินิคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มที่3 ก่อนจะยิ้มออกมาแล้วตอนคำตอบที่ทำเอาคยองซูผู้มองจากหลังเลนส์กล้องใจละลาย


“ผมเลือกแฟนคลับ...ไม่มีเขา...ผมคงเหมือนตาย ผมจะไม่มีแฟนหรอกครับ ถ้าแฟนคลับของผมไม่อนุญาต”


...


พยอนแบคฮยอนคนผิดสัญญา...





TBC.

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

คนคุก7.2

ถามตัวเองรอบที่เท่าไหร่...ก็บอกไม่ได้ว่าใครกันอยากจะเลว



บทที่7.2…

พลั่ก

ร่างสูงของอู๋อี้ฟานหรือไอ้เหี้ยผู้กองคริสตามที่ลู่หานเรียกถูกดันกระแทกกับกำแพง ดวงตากลมโตของคนที่กำมือที่คอเสื้อของผู้กองคริสนั้นยังคลอเอ่อด้วยน้ำตา ลู่หานกัดฟันแน่น กระแทกมือย้ำๆไปที่คอของคริส ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบหน้าอย่างไม่คิดจะเช็ด
เสียงตบประตูห้องน้ำยังดังพร้อมเสียงเรียกของอี้ชิง มีเสียงผู้คุมอีกเป็นฝูงที่กำลังพยายามเปิดประตูออก ลู่หานไม่สนใจเสียงคอมแบทที่ถีบแรงๆที่ประตู ให้โดนรุมตีนจนกระอักเลือดตายเขาก็ไม่สนใจ แค่ให้ได้เอาเลือดเหี้ยๆของไอ้สัตว์ตรงหน้าออกก็เป็นพอ
คริสยังตีหน้าเรียบทั้งที่ปรายตาก้มมองลู่หาน เหมือนคนไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรสักนิด
“มึง! เพราะมึง แม่กู...ของของกู ไอ้เหี้ยเอ้ย!!”กระแทกแรกเข้าไปที่คอของร่างสูงอีกครั้ง ลู่หานเหมือนหมาบ้า มืออีกข้างชกต่อยไปที่ตัวของผูกองตัวสูง
เพราะมันทำให้เขาเข้ามาอยู่ในคุกแบบนี้ มัน...เพราะมัน แม่ถึงตาย
“มึงแน่ใจนะว่าเพราะกู ถ้ามึงไม่เลวเองมึงจะโดนจับหรือไง”เสียงทุ้มของคริสเอ่ยเยาะ เขาคลายมือที่จับคอเสื้อตัวเองออกอย่างนิ่งๆ ปรายตามองเยาะหมาบ้าที่กัดฟันกรอด ปฏิเสธไม่ได้ว่าดวงตาฉ่ำน้ำของลู่หานช่างน่ามอง มันทำให้คริสรู้สึกดี รู้สึกว่าเป็นผู้ชนะ
เหมือนตอนที่จับมัน...ตอนที่มันหมดทางหนี...คริสก็รู้สึกราวกับเป็นผู้ชนะ

แม้จะเป็นแค่ตัวขายรายเล็กๆ แต่เพราะไม่เคยจับลู่หานได้เลยสักครั้ง จนหลายคนตราหน้าว่าเขาเป็นผู้กองไร้น้ำยา การที่จับมันได้จึงถือเป็นความสะใจลึกๆส่วนตัว
คริสรู้จักครอบครัวของลู่หานดี ลู่หานอยู่กับแม่และน้องชาย แม่ของมันเป็นคนดี หลายครั้งที่เจอกันหญิงสาวคนนั้นยกมือไหว้เขาพร้อมกับรอยยิ้ม ซ้ำยังบอกฝากฝังอี้ชิง ลูกชายคนเล็กกับเขาด้วยเพราะเด็กน้อยตัวขาวซีดคนนั้นกำลังตั้งใจอยากจะเป็นตำรวจ

จะโทษเขาได้ยังไง...ถ้าจะโทษ ลู่หานควรจะโทษตัวเอง ที่เลือกทางผิดเอง...
เขาเป็นตำรวจ การที่จับคนผิดมาลงโทษมันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องหรือ...ถึงแม้จะรู้สึกแย่เล็กน้อยตอนที่ไปบอกเรื่องลูกชายคนโตของเธอถูกจับ...แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น
จำได้ว่าเพียงแม่ของมันรู้ว่าลูกชายถูกจับ เธอก็ล้มลงทันที คริสถลันเข้าไปประคองร่างของหญิงสาวเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย มือที่หยาบกร้านเพราะกรำงานหนักยกทาบที่ตำแหน่งของเนื้อก้อนเท่ากำปั้นที่อกซ้ายแล้วบีบกำมันอย่างรุนแรง ดวงตาของเธอเบิกโพลง
...ก่อนจะสิ้นใจในที่สุด
จางอี้ชิงกลับมาถึงบ้านหลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที เสียงกรีดร้องดังลั่น ตามด้วยเสียงรถตำรวจที่คริสเพิ่งวอเรียก
“แม่เราไปสบายแล้วนะ”คริสบอกคำนี้กับเด็กผู้ชายตัวขาวที่ยื้อตัวจะเข้าไปหาร่างที่ถูกพันด้วยผ้าห่อศพ อี้ชิงโวยวายลั่นไปหมด กว่าจะสงบลงก็กินเวลาไปนานแสนนาน สุดท้ายก็หลับคาอกของคริสไปพร้อมมือที่ยังไม่หยุดลูบที่ผมนิ่ม

“มึงทำไมไม่ช่วยแม่กู”ลู่หานตวัดสายตาฉ่ำน้ำมองถาม มือก็กลับกระชากคอเสื้อของร่างสูงอีกครั้ง คริสทำเพียงยกมุมปากขึ้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่ช่วย แต่ช่วยไม่ทัน ผู้หญิงคนนั้นเป็นโรคหัวใจ เมื่อได้รับเรื่องที่สะเทือนจิตใจ หัวใจจึงล้มเหลวแบบเฉียบพลัน
ถามว่าคริสไม่รู้สึกอะไรหรือที่เห็นคนตายไปต่อหน้า...
ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่ความผิดของเขา...ถ้าจะโทษ ลู่หานมันต้องโทษตัวเองเท่านั้น...
“อย่าเอาแต่โยนความผิดให้คนอื่นสิ...มึงควรสำนึกว่าที่แม่มึงต้องตายก็เพราะตัวมึงเอง เพราะมึงมันเลือกจะขายยาเอง มึงโทษว่ากูผิด...กูผิดงั้นสิที่จับคนเลวอย่างมึงเข้าคุก ทำไมมึงไม่โทษตัวเองล่ะลูหาน”
“...”
“มึงหนีไปไม่พ้นหรอกว่าที่แม่มึงต้องตายก็เพราะมึงเอง...เพราะมึงค้ายา เพราะมึงเลวเอง”

นั่นสินะ...ลู่หานหนีไม่พ้นกับความจริงที่ว่าเขาเอง...เขาเองที่ฆ่าแม่ของตัวเอง
น้ำตายังไหลไม่หยุด ลู่หานหลับตาลงปล่อยให้ทั้งร่างสะอื้นจนสั่นคลอน ข้อมือที่กำคอเสื้อร่างสูงถูกจับปลด ผู้กองคริสรั้งคนที่ร้องไห้ฟูมฟายเข้ามาโอบเอาไว้ มือใหญ่ยกขึ้นวางบนหัวของลู่หานแล้วลูบมันเบาๆ รอยยิ้มร้ายปรากฏที่มุมปาก
“มันผ่านไปแล้ว มึงแก้ไขอะไรไม่ได้ ต่อให้ไม่ใช่กูที่เอาเรื่องมึงไปบอกแล้วทำให้แม่มึงช็อค ถ้าเป็นคนอื่น...แม่มึงก็ต้องเสียใจเหมือนกัน”
“...”
“แต่ก็อย่าจมกับความผิดของตัวเอง...มึงยังมีน้องอยู่นะเสี่ยวลู่”
ใช่...เขายังมีน้องชาย อี้ชิง...อี้ชิงของเขา

“อี้ชิง...”พึมพำชื่อน้องชายเสียงแผ่ว คริสมองคนที่อ่อนแรงในอ้อมกอด มอใหญ่ยังคอยลูบหัวของลู่หาน ปลอบประโลมด้วยเสียงกระซิบที่ข้างหู
“มึงอยากจะแก้ตัวไหมล่ะ...อยากเป็นคนดีหรือเปล่า”
“...”
“อยากจะรีบออกไปหาน้องมึงไหม? มึงก็รู้ว่าตอนนี้น้องมึงไม่มีใคร”
“...”
“ถ้าอยากจะออกไป...กูมีข้อเสนอ”


ค น คุ ก


ทันทีที่ประตูห้องน้ำถูกเปิดออก ร่างของลู่หานก็ลอยหวือลงไปกองที่พื้น เสียงหวีดร้องของน้องชายดังลั่น ได้ยินเพียงว่าบอกให้ปล่อยพี่ชายของตน สลับกับเสียงเรียกชื่อของใครที่อยู่ในห้องน้ำกับเขาเมื่อครู่ แต่เสียงเล็กๆไร้อำนาจนั่นก็ไม่อาจจะหยุดรองเท้าคอมแบทที่ประโคมเข้ามาได้เลย พลองประจำกายผู้คุมฟาดเข้ามาที่สะบักขวา ลู่หานร้องลั่น ที่ชายโครงถูกมุมของรองเท้ากระแทกจนปวดไปหมด ใบหน้าหันไปตามแรงกระแทกของเขาและเท้าของผู้คุมทั้งหลาย มีเพียงผู้คุมคิมที่ยืนอยู่ห่างออกไป ลู่หานยกยิ้มน้อยๆที่เห็นแววตาสงสารมาจากผู้คุมที่เขาสนิทสนม
“พอเถอะครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร นักโทษคนนี้ไม่ได้ทำอะไรผม”เสียงทุ้มต่ำเอ่ยให้ผู้คุมทั้งหลายหยุด เห็นได้ชัดกับตาว่าจางอินซูเป็นคนสุดท้ายที่เตะอัดเข้ามาที่ร่างของลู่หาน
“พี่”เป็นอี้ชิงที่ถลาเข้าไปหาพี่ชาย นักโทษคนอื่นมามองดูกันด้วยความตกใจและสงสัย ตั้งแต่มีการเยี่ยมญาติใกล้ชิดมาไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลยสักครั้ง

ลู่หานพยุงตัวขึ้นยืนด้วยความช่วยเหลือจากน้องชาย เขามองไปด้านหนึ่งไอ้จงอินกำลังทะเลาะกับผู้คุมที่กั้นไม่ให้นักโทษคนอื่นเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ น้องชายตัวขาวของมันดึงแขนของมันเอาไว้
ร่างของลู่หานลอยหวือออกจากการประคองของน้องชาย ผู้คุมสองคนเข้ามาหิ้วปีกของเขาเอาไว้ คริสดึงอี้ชิงเข้ามาชิดกายเพราะเห็นเด็กตัวขาวกำลังร้องไห้อย่างเสียขวัญ มองพี่ชายของตัวเองถูกหิ้วตัวไป
“อย่าร้องนะอี้ชิง กลับบ้านเถอะ...งานวันนี้สำหรับเรามันจบลงแล้ว”


ทั้งร่างถูกโยนลงไปที่เตียงพยาบาล ลู่หานกลิ้งตกไปอีกด้านของเตียงเพราะไม่สามารถทรงตัวได้ บวกกับแรงถีบแรงๆจากผู้คุมคนหนึ่ง
“มึงนี่มันจริงๆนะ เป็นบ้าห่าอะไรขึ้นมา มึงรู้ไหมว่ามึงป่วนงานวันนี้จนป่นปี้ไปหมด”คนที่เพิ่งถีบเขาสบถด่าเมื่อลู่หานพยุงตัวขึ้นมาจากพื้นได้ ลมหายใจของผู้คุมคนนั้นดังฟืดฟาด คงอยากจะเข้ามาประเคนตีนให้กันสักอีกสองสามครั้ง
“ทำแผลให้ตัวเองไปซะ ดีนะที่ผู้กองขอมึงเอาไว้ ไม่งั้นมึงได้ตายคาตีนกูนี่แน่ รออยู่ในนี้ เด๋ยวกูจะพาคนนั้นเข้ามาหาตามที่ผู้กองบอก”พูดจบผู้คุมที่หิ้วเขามาก็ออกจากห้องพยาบาลไปพร้อมกับนิ้มชี้ที่ชี้หน้าลู่หานเป็นครั้งสุดท้าย
ร่างโปร่งทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ผ้าปูสีขาวสะอาดเปลี่ยนเป็นดวงด่างเพราะหยดเลือด จะยกมือสัมผัสหัวที่ปวดหนึบหนับกลับพบว่าแขนมันชาจนยกไม่ขึ้น ลู่หานถอนหายใจกับร่างกายที่สะบักสะบอมของตัวเอง
คิดแล้วว่ายังไงก็โดน แล้วก็โดนจริงๆ ความจริงแล้วไอ้เหี้ยผู้กองคริสจะห้ามเสียแต่แรกก็ย่อมได้ แต่มันคงอยากให้เขาโดนตีนพอกรุบกริบ นึกถึงมันขึ้นมาแล้วต้องกำมือแน่น แน่นจนเจ็บร้าวไปทั้งแขนที่เจ็บอยู่เป็นทุนเดิม

“มึงไม่ห่วงน้องมึงเหรอ รู้ไหมว่าน้องมึงไปทำงานพิเศษด้วยนะ...ที่บาร์”

คำพูดของมันยังก้องในหัว อี้ชิงเหลือตัวคนเดียว...
เขาห่วงน้องชายที่สุด...ไอ้ผู้กองห่ารากนั่นบอกว่ามันคอยดูแลอี้ชิงอยู่ นั่นเป็นคำตอบได้ดีว่าทำไมอี้ชิงถึงคิดว่ามันช่างเป็นคนดีเลิศประเสริฐศรี แต่ลู่หานก็ยังเบาใจ ถึงมันจะเป็นผู้กองเหี้ยสำหรับเขา แต่ดูรูปการแล้วมันคงดีกับอี้ชิงอยู่พอสมควร
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...เขาไม่ไว้ใจ...อี้ชิงยังเด็ก เขาห่วงเกี่ยวกับน้องชายมากมายไปหมด
เพราะห่วง...ถึงยอมรับข้อเสนอบ้าๆนี่มา...
ถ้าทำสำเร็จ...เขาจะได้ออกไปจากที่นี่...ในทันที...

ลู่หานซี๊ดปากเมื่อขยับแขนแล้วรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา พยายามลุกขึ้นถอดเสื้อที่เปื้อนคราบเลือดออก มีแผลเปิดเลือดไหลอยู่ไม่กี่จุด ที่หัว สะบักขวา และอาจจะที่น่อง น้ำเกลือล้างแผลถูกสำลีชุบและถูไปมาอย่างลวกๆ แอลกอฮอล์ก็ด้วย สุดท้ายก็ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซแม้จะออกมายับๆเพราะความไม่ถนัดก็ดูดีกว่าเลือดท่วมในตอนแรก
ยาแก้ฟกช้ำถูกบีบและทาไปส่งๆ ที่ชายโครงเป็นปื้นเขียวน่ากลัว และที่หัวไหลานั่นยังขัดๆและเจ็บทุกครั้งที่ขยับ กระดูแขนก็ปวดไปหมดเหมือนจะหักขั้นนั้นทีเดียว
ลู่หานทำแผลเสร็จจึงเอนกายลงกับเตียงแผ่วเบา...รอ...คนคนนั้น ที่ผู้คุมกำลังไปตามมาให้
คนที่เขาต้อง “ร่วมงาน” ด้วย คนที่ผู้กองคริสบอกว่าเป็นคนของมัน...

ในวงการค้ายานั้น มีกลุ่มใหญ่บางกลุ่มที่มีอิทธิพลจนไม่สามารถจะจับกุมได้ ผู้ทรงอำนาจบางกลุ่มกำลังหนุนหลังของพวกมันอยู่ เป็นแบ็คอัพชั้นยอดให้พวกมันขนยาออกขายได้อย่างเสรี บางครั้งก็ขายออกนอกประเทศเสียด้วยซ้ำ กลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นคือกลุ่มของแมงป่องห่าเหวอะไรสักอย่าง ลู่หานก็ไม่ได้จำเหมือนกัน
จากข่าวที่มีคือกลุ่มนี้มีแบ็คอพัใหญ่ เป็นนักธุรกิจรายยักษ์ของเกาหลี แน่นอนว่าที่เกาหลีมันมีนักธุรกิจเป็นร้อยเป็นพันรายที่ทรงอิทธิพล ทางตำรวจไม่สามารถจะสืบได้เลยว่าใครคือผู้หนุนหลังกลุ่มค้ายาเสพติดกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้
แต่ถือว่าโชคยังเข้าข้างเมื่อทางการสามารถจับกุมสามาชิกกลุ่มนั้นได้คนหนึ่ง...และที่สำคัญ...มันอยู่ในเรือนจำแห่งนี้...ที่แดน1...แดนที่ลู่หานอยู่
แม้จะง้างปากมันด้วยวิธีไหน มันไม่เคยเปิดปากเลยสักครั้ง ไม่เคยพูดว่าแท้จริงแล้วแบ็คอัพคนนั้นเป็นใคร ต่อให้ขู่ว่าจะประหารมันทิ้ง มันยังยืดอกเดินเข้าลานประหารด้วยตัวเอง... แน่นอนว่าตำรวจไม่ยอมประหารมันจริงๆแน่ และไม่มีทางไหนจะง้างปากมันได้...

เพราะฉะนั้น...”แผนปลอกกล้วย” ชื่อแผนปัญาอ่อนแบบนี้ถึงถูกตั้งขึ้นมา...
ตามคำบอกของไอ้เหี้ยผู้กองคริส มีสายหลายคนที่อยู่ในเรือนจำหลังนี่ และมากกว่าครึ่งอยู่ที่แดน1 ทุกคนแฝงตัวเข้ามาในฐานะต่างๆกัน ทั้งนักโทษ ผู้คุม และอื่นๆ เขาเลยต้องร้องอ๋อเมื่อคิดได้ว่าทำไมผู้คุมถึงได้เชื่อฟังไอ้ผู้กองสังคังนั่นขนาดนั้น...

เพราะผู้กองคริสคือผู้นำของแผนปลอกกล้วยห่ารากนี่...

มองประตูห้องพยาบาลที่มีเสียงดังกุกกัก คนคนนั้นคงมาถึงแล้ว เสียงผู้คุมเอ่ยบอกว่าให้รีบๆพูดคุยกัน เพราะใกล้จะหมดเวลาเยี่ยมญาติใกล้ชิดแล้ว ก่อนที่บานประตูจะเปิดอ้าออก
ลู่หานมองคนที่เดินเข้ามาก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อใบหน้าของคนที่เดินมาหยุดปลายเตียงพยาบาลนั้น...เขาเคยเห้นมาแล้ว...
ดวงตาที่แสนจะเต็มไปด้วยเสน่ห์ เพียงได้มองก็ทำให้ต้องหลงได้ไม่ยาก เนื้อตัวขาวเนียน เรียวขาใต้กางเกงขาสั้นที่อีกคนกำลังสวม...ลู่หานเคยเห็นมันมาแล้ว...ในห้องน้ำวันนั้น

“นาย...”

ได้แต่เรียกคนตรงหน้าเสียงเบา อีกคนยกยิ้มหวานก่อนจะทรุดกายนั่นลงที่ปลายเตียง ดวงตาแสนสวยเปลี่ยนรูปเป็นสระอิตามรอยยิ้มที่วาดขึ้นที่ริมฝีปาก

“ฉันชื่อคิมจุนมยอน...เป็นนางพญาของที่นี่”





TBC.


เห้อะระ....5555555555555555555555555555555

หายไปตามร้อยกว่าชาติ คิดถึงกันมั้ย
ภาษาเห้กว่าทั้งมวล ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าการเขียนฟิคคือไร ไปบุกป่าฝ่าดงทำงานมาเค่อะ...

อึ้งไหมกับนางพา เห็นอยากรู้กันจั๊งงงงงงง ไม่ใช่คนที่คิดๆเลยสินะ หวายยยยยยยยย~~~


ใครอยากอ่านท่อื่น http://malanggi.blogspot.com ค่ะ ที่นั่นคือสรวงสวรรค์ของเราเอง

ปล้ำลู่...ไม่รู้จะต่ออีกวันไหน อารมณ์ติสมาก และงานเยอะมาก เพราะฉะนั้น อย่ารอเลยนะ (ห๊ะ?????) 555555 ล้อเล่นนะ รอหน่อยน้า กิกิ



#พี่ลู่คนคุก






แมลงจี่...